1 | [๑๑-๑๒] เทวดาที่สิงอยู่ใกล้อาศรมของพาวรีพราหมณ์ บอกให้พาวรีพราหมณ์ไปถามพระพุทธเจ้า ถึงศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะตกไป (วัตถุคาถา) 67/2/1767/2/17 67/2/22 |
2 | [๕๑] อวิชชาเป็นศีรษะ วิชชาประกอบกับศรัทธา สติ สมาธิ ฉันทะ และวิริยะเป็นธรรมเครื่องยังศีรษะให้ตกไป(วัตถุคาถา) 67/8/2067/8/20 67/8/14 |
3 | [๖๓] " โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่ปรากฏเพราะความตระหนี่ เรากล่าวตัณหาว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น" .(อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/11/1367/11/13 67/10/26 |
4 | [๖๔] ชื่อว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 ฯลฯ (อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/11/1667/11/16 67/11/3 |
5 | [๖๗] ตัณหา เรียกว่า ชัปปา ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความหลงความจม ความหวังในชีวิต ความกระซิบ ความโลภ ฯลฯ (อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/15/767/15/7 67/14/7 |
6 | [๗๕] " กระแสเหล่าใดในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านี้อันปัญญาย่อมปิดกั้นได้".(อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/20/1067/20/10 67/18/21 |
7 | [๘๑] ชื่อว่า ปัญญา คือ ความรู้ชัด กิริยาที่รู้ชัด ความเลือกเฟ้น.(อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/24/867/24/8 67/22/15 |
8 | [๘๕] " ดูก่อนอชิตะ ท่านได้ถามปัญหาข้อใดแล้ว เราจะแก้ปัญหานั้นแก่ท่านนามและรูปดับไปไม่มี ส่วนเหลือ ณ ที่ใด นามรูปนั้นก็ดับ ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่งวิญญาณ" (อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/25/1967/25/19 67/23/24 |
9 | [๘๙] เมื่อพระอรหันต์ ปรินิพพาน ด้วยปรินิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสสธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญา สติ และนามรูป ย่อมดับคือ ย่อมสงบ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมระงับไป ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่งวิญญาณดวงสุดท้าย.(อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/27/1167/27/11 67/25/9 |
10 | [๙๑] " ภพและอัตภาพ คือ ความเกิด ความตาย และสงสารนี้ของพระอรหันต-ขีณาสพเหล่านั้นมีเป็นครั้งสุดท้าย ท่านไม่มีการเกิดในภพใหม่อีก".(อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/29/167/29/1 67/26/14 |
11 | [๙๔] " ดูก่อนอชิตะ ภิกษุไม่พึงติดใจในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง พึงมีสติเว้นรอบ" (อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/31/1767/31/17 67/29/1 |
12 | [๙๙] เมื่อจบพระคาถา เทวดาและมนุษย์หลายพันผู้มีฉันทะร่วมกัน อบรมวาสนาร่วมกัน มากับอชิตพราหมณ์นั้นได้โสดาบัน และอชิตพราหมณ์ ได้บรรลุพระอรหัต หนังเสือ ชฎา ผ้าคากรอง ผมและหนวดหายไปมีเพศเป็นภิกษุแล้วประกาศว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา. (อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/37/867/37/8 67/33/7 |
13 | นิโรธ (ความดับ) มี 2 อย่าง คือ อนุปาทินนกนิโรธ อุปาทินนกนิโรธ.(อ.อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/42/1067/42/10 67/39/20 |
14 | โสดาปัตติมรรคย่อมดับอบายภพ. สกทาคามิมรรคย่อมดับได้ส่วนหนึ่งของสุคติกามภพ. อนาคามิมรรคย่อมดับกามภพได้. อรหัตมรรคย่อมดับรูปภพอรูปภพแม้ในภพทั้งปวงได้ (อ.อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/45/367/45/3 67/41/25 |
15 | ลำดับขันธ์ ธาตุ อายตนะ ทั้งหลาย อันเป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า สงสาร.(อ.อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/45/1667/45/16 67/42/14 |
16 | จริมะ (สุดท้าย) มี 3 คือ ภวจริมะ ฌานจริมะ จุติจริมะ (อ.อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/47/467/47/4 67/43/23 |
17 | พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลาย โดยที่สุดแม้มดดำมดแดงทั้งหมด ย่อมตายด้วยภวังคจิต อันเป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจเหมือนกันหมด (อ.อชิตมาณวกปัญหานิทเทส) 67/47/1167/47/11 67/44/7 |
18 | [๑๐๗] " ภิกษุมีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ ทราบแล้ว ดับแล้ว ไม่มีความหวั่นไหว ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสอง และท่ามกลางด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่ เราเรียกภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นล่วงเสียแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้" .(ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/54/567/54/5 67/50/5 |
19 | [๑๐๘] โดยตรงท่านเรียก อริยมรรคมีองค์ 8 ว่าพรหมจรรย์.(ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/54/1667/54/16 67/50/17 |
20 | [๑๑๒] ที่เรียกว่า ส่วนสุดทั้งสอง (ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/57/1167/57/11 67/53/8 |
21 | [๑๑๓] บุคคลเป็นมหาบุรุษ เพราะมีจิตหลุดพ้น (ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/59/667/59/6 67/54/24 |
22 | [๑๑๗] อกุศลมูล 3 ประการเพื่อความเกิดแห่งอัตภาพในนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรตหรือทุคติอย่างใดอย่างหนึ่ง(ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/65/1267/65/12 67/60/8 |
23 | [๑๑๗] ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นกุศล เป็นส่วนกุศล เป็นฝ่ายกุศล ธรรมทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูล มีความไม่ประมาทเป็นที่รวม ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเป็นยอดแห่งธรรมเหล่านั้น (ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/66/1267/66/12 67/61/3 |
24 | [๑๒๑] ไทยธรรม คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย เภสัชบริขารข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีปท่านเรียกว่า ยัญ (ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/69/1367/69/13 67/63/20 |
25 | [๑๒๒] การถาม 3 อย่าง 12 หมวด (ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/70/1367/70/13 67/64/24 |
26 | [๑๒๓] " ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์ พวกใดพวกหนึ่งนี้ เป็นอันมากในโลกนี้ พากันแสวงหายัญแก่เทวดาทั้งหลาย ดูก่อนปุณณกะ ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์พราหมณ์ เป็นอันมาก ในโลกนี้ เหล่านั้น หวังความเป็นอย่างนี้อาศัยชรา จึงพากันแสวงหายัญแก่เทวดาทั้งหลาย" (ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/73/2067/73/20 67/68/7 |
27 | [๑๓๓] " ชนทั้งหลายย่อมหวัง ย่อมชม (ย่อมชอบ) ย่อมบูชา อาศัยลาภแล้วย่อมชอบกามทั้งหลายเราย่อมกล่าวว่าชนเหล่านั้นประกอบการบูชายัญ กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดในภพ ไม่ข้ามพ้นชาติและชราไปได้ " 67/79/1867/79/18 67/74/2 |
28 | [๑๔๒] " เราย่อมกล่าวว่า ความหวั่นไหวในโลกไหนๆ มิได้มีแก่พระอรหันต-ขีณาสพใด เพราะทราบ ฝั่งนี้และฝั่งโน้นในโลก พระอรหันตขีณาสพนั้น เป็นผู้สงบ ขจัดทุจริตเพียงดังว่าควันไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ได้ข้ามแล้วซึ่งชาติและชรา" (ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/85/1667/85/16 67/79/14 |
29 | [๑๔๕] ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการ 10 อย่าง (ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/88/767/88/7 67/81/24 |
30 | คัมภีร์ต่างๆ ของพราหมณ์ (อ.ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/96/467/96/4 67/90/2 |
31 | ชื่อว่า ชาติ ด้วยอรรถว่าเกิด ความเกิดนั้นประกอบด้วยอายตนะยังไม่ครบ.ชื่อว่า สัญชาติ ด้วยอรรถว่าเกิดพร้อม ประกอบด้วยอายตนะครบ.(อ.ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/99/567/99/5 67/93/9 |
32 | [๑๔๙] อธิบายคำว่า ทุกข์ (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/109/1567/109/15 67/105/16 |
33 | [๑๕๑] ทุกข์ทั้งหลายมีชนิดเป็นอันมากอย่างใดอย่างหนึ่งในโลก มีอุปธิเป็นเหตุย่อมเกิดขึ้น. (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/112/367/112/3 67/107/13 |
34 | [๑๕๔] อุปธิ 10 ประการ , ทุกข์ แม้ทั้งหมดก็เป็นอุปธิ เพราะอรรถว่า ยากที่จะทนได้ (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/113/767/113/7 67/108/12 |
35 | [๑๕๖] " ผู้ใดแลมิใช่ผู้รู้ ย่อมทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆเพราะเหตุนั้น บุคคลผู้รู้อยู่ ไม่พึงทำอุปธิ เป็นผู้พิจารณาเหตุเกิดแห่งทุกข์".(เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/114/567/114/5 67/109/10 |
36 | [๑๖๔] มุนี 6 จำพวก (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/119/2067/119/20 67/114/19 |
37 | [๑๗๖] " ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง ชั้นต่ำและชั้นกลางส่วนกว้าง ท่านจงบรรเทาความยินดี ความพัวพันและวิญญาณในธรรมเหล่านั้นเสีย ไม่พึงตั้งอยู่ในภพ" (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/127/967/127/9 67/121/8 |
38 | [๑๘๐] " ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท มีความรู้แจ้ง ละความยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว เที่ยวไป พึงละชาติ ชรา ความโศกและความรำพัน อันเป็นทุกข์ในอัตภาพนี้เสียทีเดียว" (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/129/1967/129/19 67/123/16 |
39 | [๑๙๒] คำว่า นาค ความว่า ผู้ไม่มีความชั่ว ไม่ไปสู่ความชั่ว .(เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/136/367/136/3 67/130/3 |
40 | [๑๙๔] " บุคคลพึงรู้จักผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ถึงเวท ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลไม่ข้องเกี่ยวในกามภพ ผู้นั้นข้ามได้แล้วซึ่งโอฆะนี้โดยแท้ และเป็นผู้ข้ามถึงฝั่งไม่มีเสาเขื่อน ไม่มีความสงสัย" (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/137/2067/137/20 67/131/20 |
41 | [๑๙๙] " นรชนใดในศาสนานี้ มีความรู้เป็นเวทคู สลัดแล้วซึ่งบาปธรรมเป็นเครื่อง-ข้องนี้ในภพน้อยและภพใหญ่ นรชนนั้นเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวังเรากล่าวว่า นรชนนั้นได้ข้ามแล้วซึ่งชาติและชรา" (เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/142/2067/142/20 67/136/6 |
42 | ศาสนธรรมทั้งสิ้นงามในเบื้องต้น ด้วยศีลอันเป็นประโยชน์ของตน งามในท่ามกลางด้วยสมถะ วิปัสสนา มรรคและผล งามในที่สุดด้วยนิพพาน..(เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส) 67/152/2067/152/20 67/146/1 |
43 | [๒๐๘] " ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเป็นผู้มีปัญญา มีสติ ทำความเพียรในทิฏฐินี้นี่แหละบุคคลได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้วพึงศึกษานิพพานเพื่อตน" (โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/163/1967/163/19 67/156/6 |
44 | [๒๑๔] เทพ 3 คือ สมมติเทพ อุปบัติเทพ วิสุทธิเทพ (โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/165/1767/165/17 67/157/26 |
45 | [๒๑๕] " พระผู้มีพระภาคเจ้า ลอยเสียแล้วซึ่งธรรมอันลามกทั้งปวง ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่น มีจิตคงที่ ล่วงแล้วซึ่งสงสาร เป็นผู้บริบูรณ์ พระผู้มีพระภาค-เจ้านั้น ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ประเสริฐ".(โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/167/867/167/8 67/159/3 |
46 | [๒๑๖] คำว่า นมัสสามิ ความว่าข้าพระองค์ขอนมัสการด้วยกาย ด้วยวาจาด้วยจิต ขอนมัสการด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นไปตามประโยชน์ หรือ ขอนมัสการสักการะ เคารพ นับถือ บูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.(โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/167/1867/167/18 67/159/13 |
47 | [๒๑๖] พระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ (โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/168/167/168/1 67/159/16 |
48 | [๒๑๘] " ดูก่อนโธตกะ เราไม่อาจปลดเปลื้องใครๆ ที่มีความสงสัยในโลกนี้ได้ก็แต่ท่านเมื่อมารู้ธรรมอันประเสริฐ พึงข้ามโอฆะนี้ได้ด้วยความรู้อย่างนี้".(โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/170/167/170/1 67/161/13 |
49 | [๒๑๙] พระตถาคตเป็นแต่ผู้บอกทาง (โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/171/1567/171/15 67/162/18 |
50 | [๒๓๗] " ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง ชั้นต่ำ และชั้นกลางส่วนกว้าง ท่านรู้ธรรมนี้ว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกแล้ว อย่าได้ทำตัณหาเพื่อภพน้อย และภพใหญ่" (โธตกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/180/1167/180/11 67/170/11 |
51 | [๒๔๗] " ท่านจงเป็นผู้มีสติ เพ่งดูอากิญจัญญายตนสมาบัติ อาศัยสมาบัติอันเป็นไปว่า อะไรๆ น้อยหนึ่งไม่มีดังนี้แล้ว จงข้ามโอฆะเถิด ท่านจงละกามทั้งหลายเว้นจากความสงสัยทั้งหลาย พิจารณาดูความสิ้นไปแห่งตัณหาตลอดคืนและวันเถิด" (อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส) 67/189/1567/189/15 67/178/10 |
52 | [๒๔๘] พระพุทธเจ้าตรัสบอกพราหมณ์ว่า เมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญายตน-สมาบัติ ออกจากสมาบัติแล้ว จงพิจารณาดูซึ่งธรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดในความเป็นสมาบัตินั้น โดยธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ฯลฯ (อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส) 67/190/167/190/1 67/178/17 |
53 | [๒๔๙] อากิญจัญญายตนสมาบัติ เพราะอรรถว่า อะไรๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มี.(อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส) 67/191/667/191/6 67/179/16 |
54 | [๒๕๗] " ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญ-จัญญายตนสมาบัติ น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์อย่างยิ่ง ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหวพึงดำรงอยู่ในสัญญาวิโมกข์ นั้น" (อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส) 67/195/967/195/9 67/182/26 |
55 | [๒๖๖] " เปลวไฟดับไปแล้ว เพราะกำลังลม ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันใด มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันนั้น".(อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส) 67/198/1767/198/17 67/186/7 |
56 | [๒๗๖] " บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายพึงว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น เมื่อธรรมทั้งปวงอันบุคคลนั้นถอนเสียแล้วแม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวงบุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว" .(อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส) 67/202/867/202/8 67/189/6 |
57 | [๒๘๖] " ดูก่อนนันทะ ท่านผู้ฉลาดย่อมไม่กล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยทิฏฐิ ด้วยสุตะ ด้วยญาณ ว่าเป็นมุนี เราย่อมกล่าวว่า ชนเหล่าใดกำจัดเสนาเสียแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวังเที่ยวไปชนเหล่านั้นเป็นมุนี" (นันทมาณวกปัญหานิทเทส) 67/213/167/213/1 67/198/6 |
58 | [๒๘๙] เสนามาร 10 (นันทมาณวกปัญหานิทเทส) 67/214/967/214/9 67/199/13 |
59 | [๒๙๘] " สมณพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่งนี้ ย่อมกล่าวความหมดจด ด้วยการเห็นและด้วยการสดับบ้างด้วยศีล และวัตรบ้าง ด้วยมงคลหลายชนิด เราย่อมกล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้เป็นผู้สำรวมแล้วประพฤติอยู่ในทิฏฐินั้นแต่ก็ข้ามซึ่งชาติและชราไปไม่ได้" (นันทมาณวกปัญหานิทเทส) 67/219/1067/219/10 67/204/11 |
60 | [๓๑๓] " เราย่อมไม่กล่าวว่า สมณพราหมณ์ทั้งหมดเป็นผู้อันชาติและชราหุ้มห่อแล้ว เราย่อมกล่าวว่านรชนเหล่าใดละแล้ว ซึ่งรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ ศีลและวัตรทั้งปวง ทั้งละแล้วซึ่งมงคลหลายชนิดทั้งหมด กำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ นรชนเหล่านั้นแล เป็นผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว".(นันทมาณวกปัญหานิทเทส) 67/225/867/225/8 67/210/17 |
61 | [๓๑๗] กำหนดรู้ด้วยปริญญา 3 คือ ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา.(นันทมาณวกปัญหานิทเทส) 67/226/2067/226/20 67/212/1 |
62 | [๓๓๖] " ดูก่อนเหมกะ บทนิพพานเป็นที่บรรเทาฉันทราคะในปิยรูปทั้งหลายที่ได้เห็น ที่ได้ยินและที่ได้ทราบ (ที่รู้แจ้ง) เป็นที่ไม่เคลื่อน" .(เหมกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/239/1567/239/15 67/222/11 |
63 | [๓๔๑] " พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด รู้ทั่วถึงบทนิพพานนั้นแล้ว เป็นผู้มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้เข้าไปสงบแล้วทุกสมัย เป็นผู้ข้ามแล้วซึ่งตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลก".(เหมกมาณวกปัญหานิทเทส) 67/241/1367/241/13 67/224/3 |
64 | [๓๕๑] " กามทั้งหลายย่อมไม่มีอยู่ในผู้ใด ตัณหาย่อมไม่มีแก่ผู้ใด และผู้ใดข้ามพ้นจากความสงสัย ได้แล้ว วิโมกข์อย่างอื่นของผู้นั้นย่อมไม่มี".(โตเทยยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/247/1267/247/12 67/229/7 |
65 | [๓๖๑] " ผู้นั้นไม่มีความหวัง ไม่หวังอยู่ มีปัญญาและไม่มีความก่อ(ตัณหาทิฏฐิ)ด้วยปัญญา ดูก่อนโตเทยยะ ท่านจงรู้จักมุนี ผู้ไม่มีเครื่องกังวล ผู้ไม่ข้องในกามและภพแม้อย่างนี้" (โตเทยยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/252/167/252/1 67/232/21 |
66 | [๓๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีที่สุดอันรู้ไม่ได้ ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ (กัปปมาณวกปัญหานิทเทส) 67/257/967/257/9 67/237/4 |
67 | [๓๗๘] " เราขอบอกนิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่นไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น เป็นที่สิ้นไปแห่งชราและมัจจุนี้นั้นว่า ธรรมเป็นที่พึ่ง".(กัปปมาณวกปัญหานิทเทส) 67/262/1567/262/15 67/241/13 |
68 | [๓๘๓] " พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด รู้ทั่วถึงนิพพานนั้นแล้วเป็นผู้มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้วพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ไปตามอำนาจแห่งมารไม่ไปบำรุงมาร" (กัปปมาณวกปัญหานิทเทส) 67/264/467/264/4 67/242/23 |
69 | ชื่อว่า มาร เพราะประกอบมหาชนไว้ในบาปแล้วให้ตาย(อ.กัปปมาณวกปัญหานิทเทส) 67/268/1867/268/18 67/246/24 |
70 | [๓๘๙] " พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเว้นแล้วจากบาปธรรมทั้งปวงในโลกนี้ ล่วงเสียแล้วซึ่งทุกข์ในนรก ทรงอยู่ด้วยความเพียร พระองค์ทรงมีวิริยะ มีปธาน ทรงแกล้วกล้า เป็นผู้คงที่ ท่านกล่าวว่ามีพระหฤทัยเป็นอย่างนั้น".(ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/271/167/271/1 67/248/11 |
71 | [๓๙๑] ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหาความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ชื่อว่าสันติ (ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/272/1767/272/17 67/250/1 |
72 | [๓๙๙] " ท่านเห็นแล้วซึ่งเนกขัมมะโดยความเกษม จงกำจัดความกำหนัดในกามทั้งหลายเสีย กิเลสเครื่องกังวลที่ท่านยึดไว้ ควรสลัดเสีย อย่าได้มีแก่ท่านเลย" (ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/277/467/277/4 67/253/18 |
73 | [๔๐๔] " กิเลสชาติใดในกาลก่อน ท่านจงเผากิเลสชาตินั้นให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวลในภายหลังอย่าได้มีแล้วแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือ (รูปาทิสังขาร) ในท่ามกลาง ท่านจักเป็นผู้สงบแล้วเที่ยวไป" (ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/279/667/279/6 67/255/9 |
74 | [๔๐๙] " ดูก่อนพราหมณ์ อาสวะทั้งหลายอันเป็นเหตุให้ถึงอำนาจแห่งมัจจุ ย่อมไม่มีแก่พระอรหันตขีณาสพ ผู้ปราศจากความกำหนัดในนามรูปโดยประการทั้ง-ปวง" (ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/281/567/281/5 67/256/24 |
75 | บทว่า วิชชาจรณสัมปันโน นั้น ท่านกล่าววิชชา 8 กำหนดเอาอภิญญา 6 พร้อมด้วยวิปัสสาญาณ และมโนมยิทธิ (อ.ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/283/1867/283/18 67/259/8 |
76 | พระพุทธเจ้าพระนามว่า สุคโต เสด็จไปดีแล้วเพราะเสด็จไปงาม เสด็จไปสู่ฐานะอันดี เสด็จไปโดยชอบและเพราะตรัสชอบ (อ.ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/284/1667/284/16 67/260/5 |
77 | โลกมี 3 อย่าง คือ สังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลก (อ.ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/287/167/287/1 67/262/9 |
78 | จักรวาล และทวีปทั้ง 4 (อ.ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/288/167/288/1 67/263/5 |
79 | พระพุทธเจ้าพระนามว่า อนุตตโร เพราะไม่มี ใครๆ ประเสริฐกว่าด้วยพระคุณของพระองค์ คือ ไม่มีผู้ยอดเยี่ยม (อ.ชตุกัณณีมาณวกปัญหานิทเทส) 67/289/2267/289/22 67/264/24 |
80 | [๔๒๓] " หมู่สัตว์พึงนำเสีย ซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด ทั้งเบื้องบน ทั้งเบื้อง-ต่ำ หรือแม้ชั้นกลาง ส่วนกว้าง เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเข้าไปถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือ กรรมนั้นนั่นแล.".(ภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทส) 67/301/1967/301/19 67/275/7 |
81 | [๔๒๘] " เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เมื่อเห็นซึ่งหมู่สัตว์นี้ ผู้ข้องอยู่ในบ่วงแห่งมัจจุว่า เป็นผู้ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์ เครื่องยึดถือ พึงเป็นผู้มีสติไม่เข้าไปยึดถืออะไรๆในโลกทั้งปวง" (ภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทส) 67/304/367/304/3 67/277/2 |
82 | [๔๓๔] คำว่า ธุลี เป็นชื่อของ ราคะ โทสะ โมหะ (อุทยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/310/567/310/5 67/282/7 |
83 | [๔๔๐] " เราขอบอกอัญญาวิโมกข์ เป็นเครื่องละซึ่งกามฉันทะและโทมนัสทั้ง2 อย่าง เป็นเครื่อง บรรเทาความง่วงเป็นเครื่องกั้นความรำคาญ".(อุทยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/314/767/314/7 67/285/22 |
84 | [๔๔๕] " เราขอบอกอัญญาวิโมกข์ อันมีอุเบกขาและสติหมดจดดี มีความตรึกประกอบด้วยธรรมแล่นไปข้างหน้า เป็นเครื่องทำลายอวิชชา".(อุทยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/317/867/317/8 67/288/11 |
85 | [๔๕๔] " โลกมีความเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ วิตกเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น เรากล่าวว่านิพพาน เพราะละตัณหาเสียได้" (อุทยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/319/2167/319/21 67/290/16 |
86 | [๔๕๖] วิตก 9 อย่าง (อุทยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/320/967/320/9 67/291/1 |
87 | [๔๖๓-๔๖๖] " เมื่อโลกไม่เพลิดเพลินเวทนาภายใน และภายนอกเป็นผู้มีสติอย่างนี้เที่ยวไป วิญญาณจึงดับ." (อุทยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/322/667/322/6 67/292/15 |
88 | [๔๖๘] พระตถาคตหวังจะรู้ชาติ อดีต อนาคต เท่าใด ก็ระลึกได้เท่านั้น..(โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/332/367/332/3 67/301/20 |
89 | [๔๗๓] สัญญา ความจำ ความเป็นผู้จำของบุคคลผู้เข้าซึ่งรูปาวจรสมาบัติ หรือของบุคคลผู้เข้าถึงแล้ว (ในรูปาวจรภพ) หรือว่าของบุคคลผู้มีธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน นี้ชื่อว่า รูปสัญญา (โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/334/1867/334/18 67/304/4 |
90 | [๔๗๕] อากิญจัญญายตนสมาบัติ คือ บุคคลเป็นผู้มีสติ เข้าวิญญาณัญจายตน-สมาบัติ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ไม่ยังวิญญาณนั้นนั่นแหละ ให้เจริญ ให้หายไป ย่อมเห็นว่าอะไรๆ น้อยหนึ่งไม่มี (โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/335/967/335/9 67/304/16 |
91 | [๔๗๙] วิญญาณฐิติ 4 , วิญญาณฐิติ 7 (โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/337/167/337/1 67/305/23 |
92 | [๔๘๐] เรื่องที่พระตถาคตทรงพยากรณ์ และไม่ทรงพยากรณ์.(โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/338/1867/338/18 67/307/10 |
93 | [๔๘๓] " บุคคลนั้น รู้กรรมว่า เป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ มีความเพลินเป็นเครื่องประกอบดังนี้ ครั้นรู้จักกรรมนั้นอย่างนี้แล้ว ในลำดับนั้นก็พิจารณาเห็นเห็น(ธรรม)ในสมาบัตินั้น นั่นเป็นญาณอันเที่ยงแท้ของบุคคลนั้น ซึ่งเป็นพราหมณ์อยู่จบพรหมจรรย์" (โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/343/1467/343/14 67/310/26 |
94 | กัปกำลังเสื่อม ชื่อว่า สังวัฏฏกัป เพราะในกาลนั้น สัตว์ทั้งปวงจะไปรวมกันอยู่ในพรหมโลก , กัปกำลังเจริญ ชื่อว่า วิวัฏฏกัป เพราะในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายกลับจากพรหมโลก. (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/346/1067/346/10 67/313/14 |
95 | ตระกูลช้าง 10 ตระกูล , กำลังกายของพระตถาคต เท่ากับ กำลังของช้างปกติพันโกฏิ (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/350/1367/350/13 67/317/21 |
96 | ชื่อว่า กรุณา เพราะกำจัดทุกข์ของคนอื่นในหมดสิ้นไป. (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/352/767/352/7 67/319/6 |
97 | ในอนาคตพระเทวทัตจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า อัฏฐิสสระ และสุมนมาลาการจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า สุมนิสสระ (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/353/1867/353/18 67/320/15 |
98 | เวมานิกเปรต ที่เป็นติเหตุกะ ย่อมเป็นผู้บรรลุธรรมได้ ดุจการบรรลุธรรมของยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ เป็นต้น (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/357/1767/357/17 67/324/12 |
99 | เมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้า ตลอดแสนกัป หรืออสงไขยกัป ชั้นสุทธาวาสย่อมว่างเปล่า (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/359/867/359/8 67/325/25 |
100 | ปฏิฆสัญญา ได้แก่ สัญญาที่เกิดจาก ตากระทบรูป เป็นต้น .(อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/361/767/361/7 67/327/22 |
101 | สมาธิ ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ ปัญญาในอรหัตผล ชื่อว่า ปัญญา-วิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา (อ.โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส) 67/373/267/373/2 67/338/24 |
102 | [๔๙๒] พระพุทธเจ้ามีพระจักษุด้วยจักษุ 5 ประการ คือ มังสจักษุ ทิพยจักษุปัญญาจักษุ พุทธจักษุ สมันตจักษุ (โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/377/1967/377/19 67/342/16 |
103 | [๔๙๒] บทธรรมอะไรๆ อันพระพุทธเจ้านั้นไม่ทรงเห็น ไม่ทรงรู้แจ้ง หรือไม่พึงทราบ มิได้มีเลย (โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/384/667/384/6 67/348/1 |
104 | [๕๐๔] " ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติพิจารณาเห็นโลก โดยความเป็นของสูญ ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พึงข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอุบายอย่างนี้ เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น " (โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/388/967/388/9 67/351/12 |
105 | [๕๐๕] บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ด้วยเหตุ 2 ประการคือ ด้วยสามารถความกำหนดว่าไม่เป็นไปในอำนาจ ด้วยสามารถพิจารณาเห็นสังขารโดยเป็นของว่างเปล่า (โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/389/867/389/8 67/352/8 |
106 | [๕๑๐] ภิกษุผู้เข้า รูปฌาน อรูปฌาน ย่อมกล่าวได้ว่า ทำมารให้มืด กำจัดมารไม่ให้มีทาง (โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/399/167/399/1 67/360/24 |
107 | " ผู้ใดแล เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นนักปราชญ์ เป็นกัลยาณมิตร และเป็นผู้มีความภักดี มั่นคงกระทำกิจของผู้ได้รับทุกข์โดยเคารพ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกล่าวผู้นั้นว่า เป็นสัปบุรุษ" (อ.โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/410/467/410/4 67/371/8 |
108 | อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ (อ.โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/410/2067/410/20 67/371/23 |
109 | วินัย 2 อย่างนี้ คือ สังวรวินัย ปหานวินัย (อ.โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส) 67/411/1867/411/18 67/372/16 |
110 | [๕๑๗] " ชนทั้งหลายผู้มัวเมา ย่อมเดือดร้อนในเพราะรูปทั้งหลาย เพราะเห็นชนทั้งหลายลำบากอยู่ในเพราะรูปทั้งหลาย ดูก่อนปิงคิยะ เพราะเหตุนั้น ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ละรูปเสีย เพื่อความไม่เกิดต่อไป" (ปิงคิยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/419/1667/419/16 67/379/6 |
111 | [๕๒๖] " ท่านเห็นอยู่ซึ่งหมู่มนุษย์ ผู้ถูกตัณหาครอบงำเดือดร้อน อันชราถึงรอบข้างแล้ว ดูก่อนปิงคิยะ เพราะเหตุนั้น ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ละตัณหาเสียเพื่อความไม่เกิดต่อไป" (ปิงคิยมาณวกปัญหานิทเทส) 67/424/1767/424/17 67/383/15 |
112 | [๕๔๖] อธิบายคำว่า พุทโธ หรือ (พระพุทธเจ้า) (โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/435/2267/435/22 67/393/13 |
113 | [๕๗๑] คำว่า จักขับตามเพลงขับ คือ จักขับตามธรรมที่พระองค์ตรัสแล้ว จักขับตามธรรมที่ตรัสบอกแล้ว จักขับตามธรรมที่ตรัสประกาศแล้ว .(โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/445/667/445/6 67/403/22 |
114 | [๕๗๘] ความถือตัว โดยอาการต่างๆ (โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/449/1967/449/19 67/408/1 |
115 | [๕๙๕] " บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนาน ย่อมไม่ล่วงสงสาร อันมีความเป็นอย่างนี้ และมีความเป็นอย่างอื่น ภิกษุผู้มีสติรู้โทษนี้ และตัณหาเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์แล้ว พึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่นเว้นรอบ".(โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/461/867/461/8 67/418/12 |
116 | [๖๒๔] " ท่านพราหมณ์ อาตมาย่อมเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยใจ เหมือนเห็นด้วยจักษุอาตมาเป็นผู้ไม่ประมาทตลอดคืนและวัน นมัสการอยู่ตลอดคืนและวัน อาตมาย่อมสำคัญการไม่อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล".(โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/473/1567/473/15 67/430/4 |
117 | [๖๒๙] " ธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา ปีติ มนะ และสติ ย่อมไม่หายไปจากศาสนาของพระโคดม พระโคดมผู้มีพระปัญญากว้างขวางดังแผ่นดิน ย่อมเสด็จไปสู่ทิศใดๆ อาตมานั้นเป็นผู้นอบน้อมไปโดยทิศนั้นๆ นั่นแหละ" (โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/475/367/475/3 67/431/9 |
118 | [๖๔๔-๖๔๗] " พระวักกลิก็ดี พระภัทราวุธะก็ดี พระอาฬวิโคตมะก็ดี เป็นผู้มีศรัทธาอันปล่อยแล้วฉันใด แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อน ปิงคิยะ ท่านจักถึงฝั่งแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ" (โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/481/1267/481/12 67/437/1 |
119 | [๖๕๒] ผู้มี ปฏิภาน 3 จำพวก คือ ปฏิภานในปริยัติ ในการสอบถาม ในอธิคม..(โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/484/967/484/9 67/439/14 |
120 | [๖๕๖] คำว่า พระศาสดา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำพวก. นายหมู่ย่อมพาพวกให้ข้ามกันดาร. (โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/487/1367/487/13 67/442/6 |
121 | [๖๕๘] " นิพพานอันอะไรๆ นำไปไม่ได้ ไม่กำเริบ ไม่มีอุปมาในที่ไหนๆ ข้าพระองค์จักถึง (อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)โดยแท้ ความสงสัยในนิพพานนี้มิได้มีแก่ข้า-พระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้วอย่างนี้".(โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/489/167/489/1 67/443/12 |
122 | [๖๕๙] นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืนมั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาเพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอันอะไรๆ นำไปไม่ได้ ไม่กำเริบ. (โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/489/2267/489/22 67/444/5 |
123 | เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงปารายนสูตรแล้ว ชฎิล 16,000 คน ได้บรรลุพระอรหัตเทวดา และมนุษย์นับได้ 14 โกฏิ ที่เหลือได้ตรัสรู้ธรรม พวกมนุษย์ได้กลับไปคามและนิคมของตนด้วย อานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า (อ.โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/493/1167/493/11 67/446/4 |
124 | อาหาร มี 4 คือ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร.(อ.โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/496/1067/496/10 67/449/3 |
125 | ทุกข์ ได้แก่ทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจของปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทา-คามี , ส่วนพระอนาคามี และพระอรหันต์ มีทุกข์ทางกายเท่านั้น.(อ.โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส) 67/498/1167/498/11 67/450/20 |
126 | [๖๖๓] " บุคคลวางแล้วซึ่งอาชญาในสัตว์ทั้งปวง ไม่เบียดเบียนสัตว์เหล่านั้น แม้แต่ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่พึงปรารถนาบุตร จักปรารถนาสหายแต่ไหน พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/509/467/509/4 67/462/4 |
127 | [๖๖๖] บุตร 4 จำพวก คือ บุตรที่เกิดแต่ตน บุตรที่เกิดในเขต บุตรที่เขาให้บุตรที่อยู่ในสำนัก (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/510/1667/510/16 67/463/10 |
128 | [๖๖๗] สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7อริยมรรคมีองค์ 8 ท่านกล่าวว่า เอกายนมรรค. (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/513/467/513/4 67/465/12 |
129 | [๖๖๗] จริยา (การเที่ยวไป) มี 8 อย่าง (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/514/1967/514/19 67/467/2 |
130 | [๖๖๘] " ความรักทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้มีความเกี่ยวข้อง ทุกข์นี้เป็นไปตามความรักย่อมปรากฏ บุคคลเมื่อเห็นโทษอันเกิดแต่ความรัก พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/517/1767/517/17 67/492/17 |
131 | [๖๗๐] การลงโทษในนรก และมหานรก (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/522/767/522/7 67/496/7 |
132 | [๖๗๒] " บุคคลเมื่ออนุเคราะห์พวกมิตร และพวกที่มีใจดี ย่อมให้ประโยชน์เสื่อมไป ย่อมเป็นผู้มีจิตผูกพัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนั้นในความสนิทสนม พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/525/1967/525/19 67/502/7 |
133 | [๖๗๓] มิตรมี 2 จำพวก คือ มิตรคฤหัสถ์ มิตรบรรพชิต (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/526/467/526/4 67/502/11 |
134 | [๖๗๓] เป็นผู้มีจิตผูกพันด้วยเหตุ 2 อย่าง คือ ตั้งตนไว้ต่ำ ตั้งคนอื่นไว้สูง , ตั้งตนไว้สูง ตั้งคนอื่นไว้ต่ำ (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/527/767/527/7 67/503/13 |
135 | [๖๗๕] " พุ่มไม้ไผ่ใหญ่เกี่ยวข้องกัน ฉันใด ตัณหาในบุตร และภรรยาทั้งหลายกว้างขวางเกี่ยวข้องกัน ฉันนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ขัดข้องเหมือนหน่อไม้ไผ่พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/529/567/529/5 67/507/3 |
136 | [๖๗๙] " มฤคในป่า อันเครื่องผูกอะไรมิได้ผูกไว้ ย่อมไปเพื่อหาอาหารตามความประสงค์ ฉันใด นรชนที่เป็นวิญญู เมื่อเห็นธรรมอันให้ถึงความเสรี พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/532/1167/532/11 67/511/1 |
137 | [๖๘๐] ภิกษุผู้เข้ารูปฌาน อรูปฌาน ชื่อว่า ได้ทำมารให้เป็นผู้บอด กำจัดมารให้เป็นผู้ไม่มีทาง มารผู้ลามกมองหาไม่เห็น (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/533/567/533/5 67/511/12 |
138 | [๖๘๒] " ในท่ามกลางสหาย จำต้องมีการปรึกษาทั้งในที่อยู่ ที่ยืน ที่เดิน และที่เที่ยวไป บุคคลผู้เห็นการบรรพชาอันให้ถึงความเสรี ที่พวกคนชั่วไม่ปรารถนา พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/535/1767/535/17 67/515/1 |
139 | [๖๘๕] " การเล่น ความยินดี มีอยู่ในท่ามกลางแห่งสหาย แต่ความรักในบุตรทั้งหลายมีมาก บุคคลเมื่อเกลียดความพลัดพรากจากของที่รัก พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/537/967/537/9 67/517/3 |
140 | [๖๘๙] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น มีปกติอยู่ตามสบายในทิศทั้ง 4 ไม่มีความขัดเคือง ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ครอบงำอันตรายทั้งหลาย ไม่มีความหวาดเสียว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/539/1567/539/15 67/519/17 |
141 | [๖๙๒] ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/545/1067/545/10 67/525/13 |
142 | [๖๙๒] "โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นในตน ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้มีจิตลามกเหมือนขุยไผ่เกิดแล้วในตนของตน เบียดเบียนไม้ไผ่ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/546/1767/546/17 67/526/18 |
143 | [๖๙๓] " แม้บรรพชิตพวกหนึ่ง และพวกคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เป็นผู้อันคนอื่นสงเคราะห์ยาก บุคคลพึงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ในผู้อื่นและบุตรทั้งหลาย พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/547/2067/547/20 67/542/5 |
144 | [๖๙๗] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้เป็นวีรชน ปลงเสียแล้วซึ่งเครื่องหมายแห่งคฤหัสถ์ ตัดเครื่องผูกของคฤหัสถ์แล้ว เหมือนต้นทองหลาง มีใบร่วงหล่นแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/549/767/549/7 67/544/3 |
145 | [๗๐๑] " ถ้าพึงได้สหายผู้มีปัญญา ผู้เที่ยวไปด้วยกัน มีปกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ ครอบงำอันตรายทั้งปวงแล้ว พึงปลื้มใจ มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/551/367/551/3 67/546/14 |
146 | [๗๐๖] " ถ้าไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญา ผู้เที่ยวไปด้วยกัน มีปกติอยู่ด้วยกรรมดีเป็นนักปราชญ์ ก็พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ดังพระราชา ทรงละแว่นแคว้นที่ทรงชนะแล้ว เสด็จเที่ยวไปพระองค์เดียวฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/553/167/553/1 67/548/8 |
147 | [๗๑๐] " เราทั้งหลายย่อมสรรเสริญสหาย ผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมโดยแท้ ควรเสพแต่สหายที่ประเสริฐกว่า หรือ ที่เสมอกัน (เท่านั้น) เมื่อไม่ได้สหายเหล่านั้น ก็ควรบริโภคปัจจัยอันไม่มีโทษ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น". .(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/554/1467/554/14 67/551/1 |
148 | [๗๑๓] บุคคลผู้บริโภคปัจจัยอันมีโทษเป็นไฉน ? (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/555/2067/555/20 67/551/26 |
149 | [๗๑๔] " บุคคลเห็นซึ่งกำไลทองสองวงอันสุกปลั่ง ที่นายช่างทองให้สำเร็จดีแล้วเสียดสีกันที่มือ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น". .(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/557/1467/557/14 67/554/11 |
150 | [๗๑๘] " การพูดด้วยวาจาก็ดี ความเกี่ยวข้องก็ดี กับสหาย พึงมีแก่เราอย่างนี้ บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ต่อไป พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/558/1867/558/18 67/556/1 |
151 | [๗๒๒] " ก็กามทั้งหลายอันวิจิตร มีรสอร่อย น่ารื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิตด้วยอารมณ์มีชนิดต่างๆ บุคคลเห็นโทษในกามคุณทั้งหลายแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/560/1867/560/18 67/558/7 |
152 | [๗๒๕] โทษแห่งกาม (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/562/667/562/6 67/559/11 |
153 | [๗๒๖] "คำว่า กามนี้ เป็นเสนียด เป็นดังฝี เป็นอุบาทว์ เป็นโรค เป็นลูกศร เป็นภัยบุคคลเห็นภัยนี้ ในกามคุณทั้งหลายแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" . (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/566/167/566/1 67/568/1 |
154 | [๗๒๙] " บุคคลครอบงำแม้ภัยทั้งปวงแม้นี้ คือ ความหนาว ความร้อน ความหิวความระหาย ลม แดด เหลือบ และสัตว์เสือกคลานแล้วพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน เหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/567/1567/567/15 67/570/18 |
155 | [๗๓๐] ความร้อน มีด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ธาตุภายในกำเริบ ฤดูภายนอก.(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/568/367/568/3 67/571/1 |
156 | [๗๓๔] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่า เป็นนาค เพราะว่าไม่ทำความชั่ว.(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/569/867/569/8 67/572/11 |
157 | [๗๓๘] ภิกษุชอบคลุกคลีด้วยหมู่ บันเทิง ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบหมู่ จะเป็นผู้ได้ตามประสงค์ซึ่งสุขในความสงัด สุขในความตรัสรู้ ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/572/1767/572/17 67/576/6 |
158 | [๗๔๐] " เราล่วงเสียแล้วซึ่งทิฏฐิอันเป็นเสี้ยนหนามทั้งหลาย ถึงแล้วซึ่งมรรค-นิยาม มีมรรคอันได้เฉพาะแล้ว เป็นผู้มีญาณเกิดขึ้นแล้ว อันผู้อื่นไม่ต้องแนะนำพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/574/1067/574/10 67/578/21 |
159 | [๗๔๔] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่โลภ ไม่โกหก ไม่ระหาย ไม่มีความลบหลู่ มีบาปธรรมดังรสฝาด และโมหะกำจัดแล้ว ไม่มีความหวังในโลกทั้งปวงพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/576/1567/576/15 67/582/9 |
160 | [๗๔๕] วัตถุแห่งความโกหก มี 3 อย่าง คือ เป็นส่วนแห่งการเสพปัจจัย เป็นส่วนแห่งอิริยาบถ เป็นส่วนแห่งการพูดอิงธรรม (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/577/467/577/4 67/582/18 |
161 | [๗๔๘] " พึงละเว้นสหายชั่ว ผู้ไม่เห็นประโยชน์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมอันไม่เสมอ ไม่ควรเสพคนผู้ขวนขวาย และคนผู้ประมาทด้วยตนเอง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/582/1067/582/10 67/589/1 |
162 | [๗๕๒] " ควรคบมิตรผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม มีคุณยิ่ง มีปฏิภาณ รู้จักประโยชน์ทั้งหลายแล้ว กำจัดความสงสัยเสีย พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/585/567/585/5 67/592/5 |
163 | [๗๕๖] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ทำความพอใจซึ่งการเล่น ความยินดี และกามสุขในโลก ไม่อาลัย เว้นจากฐานะแห่งเครื่องประดับ เป็นผู้พูดจริง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/587/1467/587/14 67/595/6 |
164 | [๗๖๐] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละบุตร ทาระ บิดา มารดา ทรัพย์ ธัญชาติพวกพ้อง และกามทั้งหลาย ตามส่วน พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉันนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/590/167/590/1 67/598/1 |
165 | [๗๖๒] พวกพ้อง มี 4 จำพวก คือ พวกพ้องโดยเป็นญาติ พวกพ้องโดยโคตรพวกพ้องโดยความเป็นมิตร พวกพ้องเนื่องด้วยศิลปะ (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/590/1467/590/14 67/598/14 |
166 | [๗๖๔] " กามนี้เป็นเครื่องข้อง มีความสุขน้อย มีความยินดีน้อย มีทุกข์มากบุคคลผู้มีปัญญารู้ว่า กามนี้เป็นดังฝี ดังนี้แล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น"(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/591/1167/591/11 67/600/1 |
167 | [๗๖๙] สังโยชน์ (เครื่องผูก) 10 ประการ (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/593/1667/593/16 67/603/7 |
168 | [๗๗๒] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เป็นผู้มีจักษุอันทอดลง ไม่เหลวไหลเพราะเท้าคุ้มครองอินทรีย์ มีใจอันรักษาแล้ว กิเลสมิได้ชุ่ม ไฟกิเลสมิได้เผา พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/595/667/595/6 67/605/20 |
169 | [๗๗๓] ภิกษุ เป็นผู้ไม่สำรวมจักษุอย่างไร ? (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/595/1167/595/11 67/606/1 |
170 | [๗๗๓] ภิกษุ เป็นผู้เหลวไหลเพราะเท้าอย่างไร ? (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/597/1667/597/16 67/607/21 |
171 | [๗๗๖] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านำลงแล้ว ซึ่งเครื่องหมายของคฤหัสถ์ ครองผ้าย้อมน้ำฝาดออกบวช เหมือนต้นปาริฉัตตกะมีใบทึบ พึงเที่ยวไปเหมือนนอแรดฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/603/1467/603/14 67/616/9 |
172 | [๗๘๐] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่ทำความติดใจในรสทั้งหลาย ไม่มีตัณหาอันเป็นเหตุให้เหลวไหล ไม่เลี้ยงผู้อื่น เที่ยวไปตามลำดับตรอก มีจิตไม่พัวพันในสกุล พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/604/1867/604/18 67/617/17 |
173 | [๗๘๒] " เราเรียกบุคคลผู้ไม่เลี้ยงผู้อื่น ปรากฏอยู่ ตั้งมั่นคงดีแล้ว ในสารธรรมมีอาสวะสิ้นแล้ว คายโทษออกแล้วนั้นว่าเป็นพราหมณ์" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/607/467/607/4 67/619/18 |
174 | [๗๘๓] ภิกษุเป็นผู้มีจิตพัวพันในสกุล ด้วยเหตุ 2 ประการ (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/607/1467/607/14 67/620/1 |
175 | [๗๘๔] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละแล้วซึ่งเครื่องกั้นจิต 5 ประการ สลัดเสียแล้วซึ่งกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงของจิต อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย ตัดเสียแล้วซึ่งความรัก และความชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉันนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/608/2167/608/21 67/622/7 |
176 | [๗๘๘] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละสุข ทุกข์ โสมนัส และโทมนัสก่อนๆ แล้วได้อุเบกขา และสมถะอันหมดจดวิเศษแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/611/167/611/1 67/624/19 |
177 | [๗๙๑] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ปรารภความเพียร เพื่อถึงปรมัตถประโยชน์มีจิตมิได้ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน มีความพยายามมั่นคง เข้าถึงด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/612/467/612/4 67/626/22 |
178 | [๗๙๕] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ละวิเวก และฌาน ประพฤติธรรมสมควร ในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/615/2067/615/20 67/631/9 |
179 | [๗๙๙] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่ประมาท ไม่โง่เขลามีสุตะ มีสติ มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว มีธรรมอันแน่นอน มีความเพียร พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/618/167/618/1 67/634/9 |
180 | [๘๐๓] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่สะดุ้งในเพราะเสียง เหมือนสีหะ ไม่ข้องเหมือนลมไม่ติดที่ตาข่าย ไม่ติดอยู่เหมือนดอกบัวอันน้ำไม่ติด พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/621/167/621/1 67/638/1 |
181 | [๘๐๗] " พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นกำลัง ข่มขี่ครอบงำสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไป เหมือนสีหราชมีเขี้ยวเป็นกำลัง ปราบปรามครอบงำเนื้อทั้งหลายเที่ยวไปฉะนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น พึงเสพซึ่งเสนาสนะอันสงัด พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/623/167/623/1 67/641/10 |
182 | [๘๑๐] " พระปัจเจกพุทธเจ้า ซ่องเสพเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอันเป็นวิมุตติตลอดเวลา อันสัตว์โลกทั้งมวลมิได้เกลียดชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/624/967/624/9 67/643/9 |
183 | [๘๑๓] " พระปัจเจกพุทธเจ้า ละแล้วซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ ทำลายเสียแล้วซึ่งสังโยชน์ทั้งหลาย ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น".(ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/625/1867/625/18 67/646/1 |
184 | [๘๑๗] " มิตรทั้งหลายมีประโยชน์ เป็นเหตุ จึงจะคบหาสมาคมด้วย มิตรในวันนี้ ไม่มีเหตุหาได้ยาก มนุษย์ทั้งหลาย มีปัญญามุ่งประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด(เพราะฉะนั้น) พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น" (ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/627/467/627/4 67/647/12 |
185 | กัปป ศัพท์นี้มีความหมายหลายอย่าง เป็นต้นว่า โวหาร กาล บัญญัติ ตัดประมาณ โดยรอบ คล้าย (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/634/367/634/3 67/472/23 |
186 | วิธีวิปัสสนา โดยสังเขปของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/641/867/641/8 67/479/8 |
187 | วิปัสสนูปกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของวิปัสสนา) 10 อย่าง.(อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/648/467/648/4 67/485/9 |
188 | ญาณ 8 มี อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ญาณคำนึงเห็นทั้งความเกิดและความดับ) เป็นต้น (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/649/2167/649/21 67/486/25 |
189 | วิโมกข์ 3 ได้แก่ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์.(อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/652/2167/652/21 67/489/15 |
190 | ความเกี่ยวข้อง 5 อย่าง (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/657/1167/657/11 67/499/6 |
191 | พระติสสะ เหาะมาจากถ้ำ ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลง จึงเสื่อมจากฌาน.(อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/658/467/658/4 67/499/22 |
192 | ในงานฉลองมริจวัฏฏิมหาวิหาร สามเณรีถวายถาดแก่สามเณร มีอายุ 7 ขวบทั้งคู่ ได้สนทนากัน ต่อมาทั้งสองมาพบกันอีกครั้งตอนอายุ 60 ปี เกิดเสน่หากันต้องปาราชิกทั้งคู่ (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/659/367/659/3 67/500/18 |
193 | มิตร 4 คือ มิตรมีอุปการะ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรมีความรักใคร่ มิตรแนะนำประโยชน์ (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/661/1767/661/17 67/505/9 |
194 | ลักษณะแห่งพรหมวิหารทั้ง 4 (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/672/667/672/6 67/530/16 |
195 | ในจีวรมีสันโดษ 3 อย่าง (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/673/1167/673/11 67/531/16 |
196 | ผ้าบังสุกุล 23 ชนิด มีผ้าได้จากป่าช้า ผ้าเขาทิ้งไว้ตามตลาด เป็นต้น..(อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/674/567/674/5 67/532/6 |
197 | สันโดษด้วยจีวร 20 ชนิด มีสันโดษในการตรึก เป็นต้น (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/674/2067/674/20 67/532/22 |
198 | บิณฑบาต 16 ชนิด และสันโดษในบิณฑบาต 15 อย่าง (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/680/167/680/1 67/537/12 |
199 | เมื่อไทยธรรมมีมาก และผู้ให้ก็ประสงค์จะให้มาก ภิกษุควรถือเอาพอประมาณ.(อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/681/867/681/8 67/538/16 |
200 | เสนาสนะ 15 อย่าง และสันโดษในเสนาสนะ 15 อย่าง (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/682/1767/682/17 67/539/22 |
201 | ผู้มีปฏิภาณ 3 พวก (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/710/1467/710/14 67/594/14 |
202 | ธัญชาติ 7 ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟ่างลูกเดือย หญ้ากับแก้ (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/713/367/713/3 67/599/13 |
203 | ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อิสสาและมัจฉริยะ ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค , กามราคะ ปฏิฆะละได้ด้วยอนาคามิมรรค , มานะ ภวราคะ อวิชชา ละได้ด้วยอรหัตมรรค. (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/716/167/716/1 67/605/4 |
204 | ความสำรวม หรือไม่สำรวมย่อมไม่มีในสมัยแห่งภวังคจิต (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/719/667/719/6 67/614/15 |
205 | พระอรหันต์ ท่านเรียกว่า เป็นผู้มีธรรมอันกำหนดรู้แล้ว เพราะไม่มีธรรมที่จะพึงกำหนดรู้อีก (อ.ขัคควิสาณสุตตนิทเทส) 67/730/2067/730/20 67/637/18 |