1 | ท่านได้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์ ยังมหาทานให้เป็นไป ในครั้งพระอัตถทัสสีพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว, ในกาลนี้เกิดเป็นลูกน้องสาวของพระสังกิจจเถระ เจริญวัยแล้วได้บวชในสำนักของพระเถระผู้เป็นลุง บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานทั้งๆ ที่ดำรงอยู่ในภูมิของสามเณรก็ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว (อ.อธิมุตตเถรคาถา) 53/4/1253/4/12 53/5/6 |
2 | ท่านอธิมุตตะทำโจรให้หมดพยศแล้ว พากันไปยังสำนักของพระอุปัชฌาย์ พร้อมกับโจรเหล่านั้น แล้วให้บรรพชาอุปสมบทบอกกรรมฐาน ไม่นานนักท่านเหล่านั้นก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต (อ.อธิมุตตเถรคาถา) 53/17/1553/17/15 53/17/20 |
3 | ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงสาวัตถี ได้ฟังพระศาสดาแสดงอินทริยภาวนาสูตร มีศรัทธาแล้วบวชคิดเนืองๆ อยู่ในพระสูตรนั้น เริ่มตั้งวิปัสสนาเอาอายตนะเป็นประธาน ไม่นานก็บรรลุพระอรหัต (อ.ปาราปริยเถรคาถา) 53/20/1653/20/16 53/20/20 |
4 | พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ฆ่าสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ (อ.ปาราปริยเถรคาถา) 53/25/153/25/1 53/25/3 |
5 | อินทริยสังวรบริบูรณ์ ย่อมทำศีลสัมปทาให้บริบูรณ์ (อ.ปาราปริยเถรคาถา) 53/26/353/26/3 53/26/3 |
6 | ปุถุชน และพระเสขะปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน.(อ.ปาราปริยเถรคาถา) 53/26/2253/26/22 53/26/23 |
7 | หญิงบางพวกมีกลิ่นคล้ายกลิ่นม้า คล้ายกลิ่นแพะ คล้ายกลิ่นเหงื่อ คล้ายกลิ่นเลือด ถึงอย่างนั้นคนผู้บอดเขลาก็ยังยินดีในหญิงเหล่านั้น (อ.ปาราปริยเถรคาถา) 53/31/2253/31/22 53/31/11 |
8 | กำจัดอินทรีย์ด้วยอินทรีย์ (อ.ปาราปริยเถรคาถา) 53/35/1053/35/10 53/34/20 |
9 | ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ นครสาวัตถี บวชเป็นปริพาชกมีอัธยาศัยในการออกจากวัฏฏะ วันหนึ่งได้เข้าไปฟังธรรมพระศาสดา มีศรัทธาบวชแล้ว เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต. (อ.เตลุกานิเถรคาถา) 53/40/453/40/4 53/39/10 |
10 | ริษยา มีการอดกลั้นสมบัติของคนอื่นไม่ได้เป็นลักษณะ การแข่งดี มีการทำให้ยิ่งกว่าผู้อื่นทำเป็นลักษณะ ถีนะ มีความคร้านจิตเป็นลักษณะ มิทธะ มีความคร้านกายเป็นลักษณะ (อ.เตลุกานิเถรคาถา) 53/49/853/49/8 53/48/14 |
11 | ท่านได้ถวายมหาทาน 7 วัน ตั้งความปรารถนาตำแหน่งเลิศภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธาต่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ในกัปที่ 92 เมื่อราชบุตร 3 องค์ ได้อุปัฏฐากพระผุสสพุทธเจ้า ท่านได้เป็นผู้กระทำกิจแห่งบุญกิริยาของราชบุตรเหล่านั้น ,ในกาลนี้ เกิดในเรือนของรัฐปาลเศรษฐี ครองเรือนแล้ว วันหนึ่งได้ฟังธรรม มีศรัทธาได้ทำการอดอาหาร 7 วัน ให้บิดามารดาอนุญาตบวชแล้ว เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต (อ.รัฏฐปาลเถรคาถา) 53/58/1053/58/10 53/57/16 |
12 | โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน , โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน , โลกไม่เป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป , โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่มเป็นทาสตัณหา (อ.รัฏฐปาลเถรคาถา) 53/66/1653/66/16 53/65/13 |
13 | [๓๘๙] ผู้ห่างไกลพระนิพพาน (มาลุงกยปุตตเถรคาถา) 53/76/353/76/3 53/74/4 |
14 | ท่านได้เป็นหัวหน้าคณะ ชักชวนบุรุษ 300 คน สร้างพระคันธกุฎี ถวายพระปทุมุตตรพุทธเจ้า และบำเพ็ญมหาทานในกาลนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์ มีมาณพ 300เป็นศิษย์ ได้ทราบข่าวพระพุทธเจ้า จากเกนิยชฎิล จึงไปเข้าเฝ้ากล่าวชมเชยด้วยคาถา 6 คาถา ขอบวชได้บรรลุพระอรหัตในวันที่ 8 (อ.เสลเถรคาถา) 53/95/1153/95/11 53/91/7 |
15 | ท่านถวายมหาทาน 7 วัน ตั้งความปรารถนาตำแหน่งเลิศภิกษุผู้มีสกุลสูง ต่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้า, ท่านได้ลาดแผ่นหินตั้งน้ำล้างเท้าไว้ในที่พระปัจเจกพุทธเจ้าประชุมแบ่งภัตตาหารกัน , ในกาลนี้ เกิดในตระกูลศากยราช ในนครกบิลพัสดุ์บวชพร้อมกับกษัตริย์ 5 องค์ เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เที่ยวเปล่งอุทานว่าสุขหนอ สุขหนอ (อ.ภัททิยกาลิโคธาปุตตเถรคาถา) 53/124/1553/124/15 53/119/12 |
16 | [๓๙๒] บาปปิดกั้นไว้ได้ด้วยกุศล (องคุลิมาลเถรคาถา) 53/133/1253/133/12 53/127/18 |
17 | ท่านเคยเป็นชาวนาได้ก่อไฟ ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้มีผ้าเปียก ถูกความหนาวเบียดเบียน ท่านจึงเป็นผู้มีเชาวน์ และกำลังเท่าช้าง 7 เชือก .(อ.องคุลิมาลเถรคาถา) 53/137/453/137/4 53/131/10 |
18 | เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เวลาเข้าไปบิณฑบาต ก้อนดิน ท่อนไม้ แม้คนอื่นขว้างมาก็มาตกลงที่ร่างกายท่าน พระศาสดาทรงโอวาทให้ท่านอดกลั้น เสวยวิบากกรรมที่จะทำให้ไหม้ในนรกหลายพันปีนั้น เฉพาะในปัจจุบันเถิด .(อ.องคุลิมาลเถรคาถา) 53/145/1453/145/14 53/138/25 |
19 | [๓๙๓] พระอนุรุทธะ ถือการนั่งเป็นวัตรมาเป็นเวลา 55 ปี กำจัดความง่วงเหงาหาวนอนมาแล้วเป็นเวลา 25 ปี (อนุรุทธเถรคาถา) 53/156/1153/156/11 53/149/5 |
20 | นายอันนภาระได้ให้ส่วนบุญแก่เศรษฐี เศรษฐีมีจิตเลื่อมใสได้ให้ทรัพย์ พันหนึ่งแก่เขา (อ.อนุรุทธเถรคาถา) 53/160/2253/160/22 53/153/5 |
21 | [๓๙๔] ความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนอย่างหนึ่ง ขณะนี้เป็นอย่างหนึ่ง.(ปาราสริยเถรคาถา) 53/180/353/180/3 53/171/10 |
22 | [๓๙๕] ภายหลังการสังคายนาครั้งที่ 3 ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จะประปฏิบัติพฤติตัวเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่ศาสนาและทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ (ปุสสเถรคาถา) 53/202/453/202/4 53/193/4 |
23 | ท่านเป็นโอรสของพระเจ้ามัณฑลิกะ ได้ฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระรูปหนึ่งมีศรัทธาบวชแล้วเรียนกัมมัฏฐาน บำเพ็ญภาวนาอยู่เนืองๆ ทำฌานให้บังเกิดขึ้นเริ่มตั้งวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้อภิญญา 6 (อ.ปุสสเถรคาถา) 53/206/1153/206/11 53/197/6 |
24 | บทว่า กุหา ได้แก่ เป็นคนลวงโลก ด้วยวัตถุเครื่องล่อลวง มีการร่ายมนตร์เป็นต้นคือ ทำการล่อลวง เพื่อปรารถนาจะยกย่องคุณที่ไม่มีอยู่ให้ปรากฏเป็นสิ่งประหลาด แก่ชนเหล่าอื่น (อ.ปุสสเถรคาถา) 53/218/153/218/1 53/207/19 |
25 | ยุคแห่งพระศาสนา มี 5 ยุค คือ วิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุค และทานยุค (อ.ปุสสเถรคาถา) 53/226/653/226/6 53/215/4 |
26 | [๓๙๖] ภิกษุเมื่อบริโภคอาหารจะเป็นของสด หรือของแห้งก็ตาม ไม่ควรติดใจจนเกินไปจนเกินไปควรเป็นผู้มีท้องพร่องมีอาหารพอประมาณ มีสติอยู่ การบริโภคอาหารยังอีก 4-5 คำจะอิ่ม ควรงดเสีย แล้วดื่มน้ำเป็นการสมควรเพื่ออยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว (สารีปุตตเถรคาถา) 53/229/1153/229/11 53/217/19 |
27 | สรทดาบส มีบริวาร 74,000 คน ได้ถวายผลไม้ และอาสนะดอกไม้ ตั้งความปรารถนาตำแหน่งอัครสาวก ต่อพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า จบการแสดงธรรมของพระศาสดา ชฎิล 74,000 บรรลุพระอรหัต (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/234/1153/234/11 53/222/19 |
28 | สิริวัฑฒะ บำเพ็ญมหาทาน 7 วัน ตั้งความปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ 2 ต่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้า (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/239/453/239/4 53/226/10 |
29 | อุปติสสะ และโกลิตะ แสวงหาโมกขธรรม อุปติสสะ ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิได้บรรลุโสดาปัตติผล โกลิตะ ได้ฟังธรรมที่อุปติสสะแสดงก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล. . (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/240/1353/240/13 53/227/15 |
30 | พระศาสดาตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า อุปติสสะ และโกลิตะ ที่กำลังเดินมา จะเป็นอัครสาวกคู่เลิศ พระมหาโมคคัลลานะ บรรลุสาวกบารมีญาณ ในวันที่ 7 พระสารีบุตร 15 วัน ได้บรรลุสาวกบารมีญาณ (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/243/1053/243/10 53/229/20 |
31 | พระอรหันต์ ทั้งหลาย อยู่ในที่ใด สถานที่นั้นย่อมเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์. (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/280/353/280/3 53/267/4 |
32 | ดูก่อนอานนท์ เราจักข่มแล้วๆ จึงบอก ดูก่อนอานนท์เราจักยกย่องแล้วๆ จึงบอก,ผู้ใดมีแก่นสาร ผู้นั้นจักดำรงอยู่ได้ (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/281/2153/281/21 53/268/23 |
33 | สามเณร เตือนพระสารีบุตรให้นุ่งผ้าให้เรียบร้อย (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/285/1553/285/15 53/272/5 |
34 | บุคคลจะเป็นบัณฑิตด้วยเหตุ 4 ประการ คือ ฉลาดในธาตุ ฉลาดในอายตนะ ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในฐานะ และอฐานะ (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/290/653/290/6 53/276/6 |
35 | จำแนกความหมาย ของคำว่า เป็นผู้มีมหาปัญญา (อ.สารีปุตตเถรคาถา) 53/290/1053/290/10 53/276/10 |
36 | [๓๙๗] บัณฑิต ไม่ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนที่ชอบส่อเสียด มักโกรธตระหนี่และผู้ปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศ เพราะการสมาคมกับคนชั่ว เป็นความลามก (อานันทเถรคาถา) 53/300/353/300/3 53/283/8 |
37 | [๓๙๗] พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เธออย่าห้ามประชาชนเป็นอันมาก ที่พากันมา แต่ต่างประเทศในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า เพราะประชุมชนเหล่านั้นเป็นผู้มุ่งจะฟังธรรม จงเข้ามาหาเราได้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะเห็นเรา (อานันทเถรคาถา) 53/302/1353/302/13 53/286/18 |
38 | ท่านเป็นสุมนราชกุมาร ได้อุปัฏฐากพระปทุมุตตรพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ อยู่3 เดือน สร้างวิหารในอุทยานชื่อ โสภณะ ตั้งความปรารถนาตำแหน่งพุทธ-อุปัฏฐาก(อ.อานันทเถรคาถา) 53/304/1853/304/18 53/288/14 |
39 | สมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ท่านได้ถวายผ้าเพื่อเป็นถลกบาตร แก่พระเถระรูปหนึ่ง ,เมื่อท่านเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี ได้สร้างบรรณศาลา 8 หลัง ตกแต่งตั่งล้วนด้วยรัตนะและที่รองด้วยแก้วมณี 8 ที่ เพื่อเป็นที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้า 8 องค์.(อ.อานันทเถรคาถา) 53/308/1953/308/19 53/292/4 |
40 | พระอานนท์บรรลุโสดาปัตติผล เพราะได้ฟังธรรมเทศนาของพระปุณณมันตาณี-บุตร (อ.อานันทเถรคาถา) 53/309/1553/309/15 53/292/22 |
41 | พระอานนท์รับพร 8 ประการ แล้วอุปัฏฐากพระศาสดา คอยรักษาเหตุการณ์บริเวณพระคันธกุฎี 9 ครั้ง (อ.อานันทเถรคาถา) 53/310/2153/310/21 53/293/23 |
42 | พระศาสดาทรงตั้งพระอานนท์ไว้ในตำแหน่งเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีสติ ผู้มีคติ ผู้มีธิติ และผู้อุปัฏฐาก (อ.อานันทเถรคาถา) 53/312/153/312/1 53/294/20 |
43 | เพราะไม่มีการเล่าเรียนพระสูตร 1 สูตร , 2 สูตร โดยที่สุดแม้พระสูตร 1 วรรคแต่เขาพากเพียรเรียนกัมมัฏฐาน ก็ชื่อว่า เป็นพหูสูตได้ (อ.อานันทเถรคาถา) 53/323/1053/323/10 53/306/5 |
44 | บุคคลฟังปริยัติจนเป็นผู้คงแก่เรียน นำประโยชน์มาให้คนอื่น ไม่นำประโยชน์มาให้ตนเองเลย ดุจคนตาบอดถือดวงไฟ (อ.อานันทเถรคาถา) 53/324/1153/324/11 53/307/4 |
45 | ความพอใจ เพราะความอดทน ต่อการเพ่งพินิจ พิจารณาในธรรม .(อ.อานันทเถรคาถา) 53/325/2153/325/21 53/308/16 |
46 | [๓๙๘] บุรุษโรคเรื้อนใส่บาตร พระมหากัสสป แล้วนิ้วของเขาขาดตกลงในบาตรพระเถระมิได้มีความเกลียดชังเลย (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/334/1553/334/15 53/316/17 |
47 | [๓๙๘] ภิกษุไม่พึงทำการงานให้มากนัก พึงเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสีย เมื่อภิกษุขวนขวายในการงานมากก็จะเยียวยาร่างกายลำบาก ผู้มีร่างกายลำบากนั้นย่อมไม่ได้ประสบความสงบใจ (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/336/1753/336/17 53/318/26 |
48 | ท่านเป็นเวเทหะอุบาสก ได้ถวายมหาทาน 7 วัน ตั้งความปรารถนาตำแหน่งเลิศภิกษุผู้ทรงธุดงค์ (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/339/853/339/8 53/322/6 |
49 | ในกัปที่ 91 พระวิปัสสีพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมทุกๆ 7 ปี ท่านเกิดเป็น เอกสาฎก-พราหมณ์ ได้ถวายผ้าห่มของตนแด่พระศาสดา (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/342/353/342/3 53/324/12 |
50 | ธิดาเศรษฐีผู้มีกลิ่นตัวเหม็นเพราะบาป (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/346/1653/346/16 53/328/6 |
51 | ท่านได้เป็นพระเจ้านันทราช ครองเมืองพาราณสี ได้อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า500 องค์ (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/348/1153/348/11 53/329/19 |
52 | ปิปผลิมาณพ และนางภัททากาปิลานี ได้ออกจากเรือนบวชอุทิศพระอรหันต์เมื่อแยกทางกันจึงเกิดแผ่นดินไหว พระศาสดาได้ยินเสียงแผ่นดินไหวแล้ว จึงทรงเสด็จไปเป็นระยะทาง 3 คาวุต ให้อุปสมบทแก่ พระเถระด้วยโอวาท 3 ข้อ 53/358/153/358/1 53/338/16 |
53 | พระมหากัสสปะ ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 7 ประการ เมื่อพระศาสดาทรงเปลี่ยนผ้าบังสุกุลให้พระเถระแผ่นดินได้ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดิน พระเถระเป็นปุถุชนอยู่ 7 วัน ในวันที่ 8 ก็บรรลุพระอรหัต (อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/362/153/362/1 53/341/7 |
54 | " ในกาลใด ๆ บุคคลพิจารณาเห็นการเกิด และการดับไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย ในกาลนั้นๆ เขาย่อมได้ปีติและปราโมทย์ ปีติและปราโมทย์นั้นเป็นอมตะของผู้รู้-แจ้ง"แจ้ง"(อ.มหากัสสปเถรคาถา) 53/375/453/375/4 53/354/11 |
55 | ผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีคติ 2 อย่าง ๆ ใดอย่างหนึ่ง คือ นรก หรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน (อ.ตาลปุฏเถรคาถา) 53/394/1953/394/19 53/373/8 |
56 | พระศาสดาสั่งให้พระมหาโมคคัลลานะ เขย่าปราสาทของนางวิสาขา จากนั้นพระองค์ทรงแสดงธรรม ภิกษุที่หนีออกจากปราสาทนั้น บางพวกได้โสดาปัตติผลสกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล (อ.มหาโมคคัลลานเถรคาถา) 53/466/1053/466/10 53/445/12 |
57 | พระศาสดากับพระมหาสาวก 4 องค์ นั่งเข้าเตโชธาตุบนพรหมโลก ทรมานพรหมผู้มีความเห็นผิด (อ.มหาโมคคัลลานเถรคาถา) 53/469/1953/469/19 53/449/6 |
58 | พระมหาโมคคัลลานะ ทรมานนันโทปนันทนาคราช (อ.มหาโมคคัลลานเถรคาถา) 53/474/2153/474/21 53/453/4 |
59 | พระมหาโมคคัลลานะ เคลื่อนจากนรกแล้ว มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ มีนามว่าโกลิตะ (อ.มหาโมคคัลลานเถรคาถา) 53/482/553/482/5 53/459/15 |
60 | [๔๐๑] คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตว์ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย เป็นไปเพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแล เป็นวาจาสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/487/1153/487/11 53/464/12 |
61 | ท่านได้ตั้งความปรารถนาตำแหน่งเลิศภิกษุผู้มีปฏิภาณ ต่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้า, ในกาลนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์ เมืองสาวัตถี รู้วิชาฉวสีสะ เอาเล็บเคาะกระโหลกศพ แล้วรู้ได้ว่าสัตว์นี้บังเกิดในกำเนิดใด ได้เข้าเฝ้าพระศาสดาแล้วไม่สามารถรู้คติกระโหลกของพระอรหันต์ จึงบวชหวังเรียนวิชา พระศาสดาตรัสบอกอาการ 32 และวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเจริญวิปัสสนาได้ทำให้แจ้งพระอรหัต (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/499/853/499/8 53/473/6 |
62 | จำนวนพระเถระที่อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/555/1953/555/19 53/528/7 |
63 | การบรรลุอริยมรรคย่อมไม่มีแก่ผู้เว้นจากอุปนิสัยสมบัติ (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/558/1453/558/14 53/530/21 |
64 | พระสาวกมี 3 อย่าง คือ อัครสาวก มหาสาวก ปกติสาวก (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/560/953/560/9 53/532/12 |
65 | วิโมกข์มี 3 คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/563/353/563/3 53/534/21 |
66 | ปฏิปทา 4 มี ผู้ปฏิบัติลำบาก และรู้ช้า เป็นต้น (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/564/1253/564/12 53/536/4 |
67 | พระเถระผู้ตั้งอยู่ในสมาธิ เพียงสักว่า ขณิกสมาธิ แล้วเริ่มตั้งวิปัสสนาบรรลุอรหัตมรรคนั้น ชื่อว่า สุกขวิปัสสก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ). (อ.วังคีสเถรคาถา) 53/567/1653/567/16 53/538/16 |