1 | [๑] "อันที่จริง กายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังฟองไข่อันหนังหุ้มไว้... พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย" (นกุลปิตุสูตร) 27/2/427/2/4 27/2/5 |
2 | [๔] เหตุที่เรียกว่า บุคคลเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายและเป็นผู้มีจิตกระสับ-กระส่าย (นกุลปิตุสูตร) 27/4/427/4/4 27/3/22 |
3 | [๕] เหตุที่เรียกว่า บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่ (นกุลปิตุสูตร) 27/5/1627/5/16 27/5/8 |
4 | นกุลบิดาเป็นเลิศในอุบาสกที่สนิทสนม เพราะเคยเป็นพ่อ เป็นปู่ เป็นอาของพระตถาคต อย่างละ 500 ชาติ (อ.นกุลปิตุสูตร) 27/10/427/10/4 27/9/22 |
5 | บุคคลใดแล เป็นผู้กตัญญูกตเวที เป็นนักปราชญ์ เป็นกัลยาณมิตร และเป็นผู้มีความภักดีอันมั่นคงกระทำกิจของผู้ได้รับทุกข์โดยเคารพ บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลผู้เช่นนั้นว่า เป็น สัปบุรุษ (อ.นกุลปิตุสูตร) 27/11/1527/11/15 27/11/3 |
6 | เดินตามพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ (อ.นกุลปิตุสูตร) 27/12/1127/12/11 27/11/19 |
7 | วินัย มี 2 อย่าง คือ สังวรวินัย ปหานวินัย (อ.นกุลปิตุสูตร) 27/13/627/13/6 27/12/15 |
8 | พระขีณาสพมีกายกระสับกระส่ายมีจิตไม่กระสับกระส่าย พระเสขะ 7 จำพวกมีกายกระสับกระส่าย มีจิตกระสับกระส่าย ก็ไม่ใช่ มีจิตไม่กระสับกระส่ายก็ไม่เชิง (อ.นกุลปิตุสูตร) 27/17/2227/17/22 27/16/20 |
9 | [๘] พระพุทธองค์สอนให้กำจัด ฉันทราคะในขันธ์ 5 เพราะเมื่อบุคคลมีความ-กำหนัด พอใจ รัก กระหาย กระวนกระวาย ทะยานอยากในขันธ์ 5 แล้ว ขันธ์ 5 นั้นแปรปรวนไป ย่อมเป็นทุกข์. (เทวทหสูตร) 27/20/827/20/8 27/18/19 |
10 | วัตรที่พระสารีบุตร กระทำเป็นประจำในอาราม (อ.เทวทหสูตร) 27/23/1427/23/14 27/21/22 |
11 | [๑๒] รูปธาตุเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ ก็มุนีใดมีวิญญาณ พัวพันด้วยราคะในรูปธาตุ มุนีนั้นท่านกล่าวว่า มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป (หลิททิกานิสูตรที่ ๑) 27/27/727/27/7 27/25/6 |
12 | [๑๓] ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ความเข้าถึง ความยึดมั่น อันเป็นที่ตั้งที่อยู่อาศัยแห่งจิตเหล่าใด ในรูปธาตุความพอใจ เป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคต ทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา จึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป. (หลิททิกานิสูตรที่ ๑) 27/27/1427/27/14 27/25/12 |
13 | [๑๔] มุนีเป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป เพราะซ่านไปและพัวพันในรูป เป็นต้น อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก. (หลิททิกานิสูตรที่ ๑) 27/28/927/28/9 27/25/26 |
14 | [๑๖] มุนีบางคนในโลกนี้ เป็นผู้คลุกคลี กับพวกคฤหัสถ์อยู่ คือ เป็นผู้พลอยชื่นชมกับเขา พลอยโศกกับเขา เมื่อพวกคฤหัสถ์มีสุขก็สุขด้วย มีทุกข์ก็ทุกข์ด้วยเมื่อพวกคฤหัสถ์มีกรณียกิจที่ควรทำเกิดขึ้น ก็ขวนขวายในกรณียกิจเหล่านั้นด้วยตนเอง มุนีเป็นผู้สนิทสนมในบ้านอย่างนี้แล. (หลิททิกานิสูตรที่ ๑) 27/29/327/29/3 27/26/17 |
15 | [๒๖] ที่เรียกว่า เป็นผู้สำเร็จล่วงส่วน มีความเกษมจากโยคธรรมล่วงส่วนเป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (หลิททิกานิสูตรที่ ๒) 27/36/1027/36/10 27/33/14 |
16 | [๒๗] พระพุทธเจ้าตรัสให้ภิกษุเจริญสมาธิ มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งความเกิด และความดับแห่งขันธ์ 5 (สมาธิสูตร) 27/37/1727/37/17 27/35/5 |
17 | [๒๘] อะไรเป็นความเกิดแห่งขันธ์ 5 ? ตอบว่า บุคคลย่อมเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ ซึ่งขันธ์ 5 ความยินดีก็เกิดขึ้น ความยินดีในขันธ์ 5 นั่นเป็นอุปาทานเพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ...กองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีอย่างนี้ นี่เป็นความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ 5 (สมาธิสูตร) 27/38/427/38/4 27/35/12 |
18 | [๓๐] ภิกษุผู้หลีกออกเร้น ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับแห่งขันธ์ 5 . (ปฏิสัลลานสูตร) 27/40/1827/40/18 27/38/3 |
19 | [๓๒] ความสะดุ้งเพราะความถือมั่นย่อมมีอย่างนี้ คือ ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นตนในรูป เป็นต้น รูปของเขานั้น ย่อมแปรปรวน วิญญาณจึงมีความหมุนเวียนไปตาม ความแปรปรวนนั้น...เพราะจิตถูกครอบงำปุถุชนนั้นย่อมมีความหวาดเสียว ลำบากใจสะดุ้งอยู่ เพราะความถือมั่นอย่างนี้ (อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๑) 27/41/1727/41/17 27/39/9 |
20 | [๓๔] ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมตามเห็นรูปว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา รูปของเขานั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป ความโศก ความคร่ำ-ครวญ ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้น จึงเกิดขึ้น... ความสะดุ้งเพราะความถือมั่นย่อมมีอย่างนี้ (อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๒) 27/45/927/45/9 27/43/4 |
21 | [๓๖] ขันธ์ 5 ที่เป็นอดีต อนาคต ไม่เที่ยง จักกล่าวถึงขันธ์ 5 ที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในขันธ์ 5 ที่เป็นอดีตไม่เพลิดเพลินขันธ์ 5 ที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด เพื่อความดับขันธ์ 5 ที่เป็นปัจจุบัน (อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๑) 27/47/327/47/3 27/44/12 |
22 | [๓๗] ขันธ์ 5 ที่เป็นอดีต อนาคตเป็นทุกข์ จักกล่าวถึงขันธ์ 5 ที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่าอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มี ความอาลัยใน ขันธ์ 5 ที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินขันธ์ 5 ที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อความ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับขันธ์ 5 ที่เป็นปัจจุบัน .(อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๒) 27/48/827/48/8 27/46/3 |
23 | [๓๘] ขันธ์ 5 ที่เป็นอดีต อนาคตเป็นอนัตตา จักกล่าวถึงขันธ์ 5 ที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่าอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มี ความอาลัยใน ขันธ์ 5 ที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินขันธ์ 5 ที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับขันธ์ 5 ที่เป็นปัจจุบัน .(อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๓) 27/49/327/49/3 27/46/19 |
24 | [๓๙] ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในขันธ์ 5... (อนิจจสูตรที่ ๑) 27/51/527/51/5 27/49/5 |
25 | [๔๐] ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในขันธ์ 5... (ทุกขสูตรที่ ๑) 27/51/1827/51/18 27/50/3 |
26 | [๔๑] ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อ-หน่ายในขันธ์ 5... (อนัตตสูตรที่ ๑) 27/52/727/52/7 27/50/11 |
27 | [๔๒] ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตาสิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นสิ่งนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา... (อนิจจสูตรที่ ๒) 27/52/1827/52/18 27/51/3 |
28 | [๔๓] ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นสิ่งนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา... (ทุกขสูตรที่ ๒) 27/53/1327/53/13 27/51/17 |
29 | [๔๔] ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา ขันธ์ 5 นั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นขันธ์ 5 นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา... (อนัตตสูตรที่ ๒) 27/54/627/54/6 27/52/10 |
30 | [๔๕] ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง แม้เหตุปัจจัยที่ให้ขันธ์ 5 เกิดขึ้นก็ไม่เที่ยง ขันธ์ 5 ที่เกิดจากสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่ไหนจักเที่ยงเล่า... (อนิจจเหตุสูตร) 27/54/1627/54/16 27/53/3 |
31 | [๔๖] ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้ขันธ์ 5 เกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ ขันธ์ 5 ที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจะเป็นสุขเล่า... (ทุกขเหตุสูตร) 27/55/927/55/9 27/53/14 |
32 | [๔๗] ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้ขันธ์ 5 เกิดขึ้นก็เป็นอนัตตา ขันธ์ 5ที่เกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจะเป็นอัตตาเล่า... (อนัตตเหตุสูตร) 27/55/2027/55/20 27/54/5 |
33 | [๔๘] ความดับแห่งธรรมเหล่าไหน เรียกว่านิโรธ ตอบว่า รูปเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ความดับแห่งรูปนั้น เรียกว่า นิโรธ.... (อานันทสูตร) 27/56/1127/56/11 27/54/16 |
34 | [๕๓] ขันธ์ 5 ชื่อว่า ภาระ และผู้แบกภาระ คือ บุคคล การถือภาระ เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้วไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อมทั้งมูลรากแล้วเป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้.. (ภารสูตร) 27/59/627/59/6 27/58/4 |
35 | จริงอยู่ อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านั้น จำต้องบริหารด้วยการให้ยืน ให้เดิน ให้นั่งให้นอน ให้อาบน้ำแต่งตัว ให้เคี้ยว ให้กิน เป็นต้น จึงชื่อว่า เป็นภาระ(ของหนัก)เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ภาระ เพราะ เป็นภาระจะต้องบริหาร (อ.ภารสูตร) 27/59/1727/59/17 27/58/17 |
36 | [๕๔-๕๕] ธรรมที่ควรกำหนดรู้ คือ ขันธ์ 5, ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะความสิ้นไปแห่งโมหะ นี้เรียกว่า ความกำหนดรู้ (ปริญญาสูตร) 27/61/727/61/7 27/60/6 |
37 | จริงอยู่ พระนิพพานนั้นชื่อว่า กำหนดรู้ล่วงส่วน (อ.ปริญญาสูตร) 27/62/127/62/1 27/61/3 |
38 | [๕๖] บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้ ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งขันธ์ 5 เป็นผู้ไม่ควรเพื่อสิ้นทุกข์ (ปริชานสูตร) 27/62/627/62/6 27/61/8 |
39 | [๕๘] จงละฉันทราคะในขันธ์ 5 เสีย ด้วยการละอย่างนี้ขันธ์ 5 นั้นจักเป็นอันละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทำให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา (ฉันทราคสูตร) 27/63/627/63/6 27/62/11 |
40 | [๕๙] สุขโสมนัส อันใด อาศัยในขันธ์ 5 เกิดขึ้น นี้เป็นคุณของขันธ์ 5 , ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษของขันธ์ 5 , การกำจัดฉันทราคะการละฉันทราคะในขันธ์ 5 เสียได้ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 . (อัสสาทสูตรที่ ๑) 27/63/1827/63/18 27/63/4 |
41 | [๖๑] พระพุทธองค์ ทรงค้นหา คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทาน-ขันธ์ 5 เมื่อยังไม่รู้ยิ่ง สิ่งเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพียงใด ก็ยังไม่ปฏิญาณได้ว่า ได้ตรัสรู้ (อัสสาทสูตรที่ ๒) 27/65/627/65/6 27/64/9 |
42 | [๖๒] ถ้าคุณแห่งรูปไม่มี สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนัดในรูป, ถ้าโทษแห่งรูปไม่มีสัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในรูป (อัสสาทสูตรที่ ๓) 27/66/727/66/7 27/65/11 |
43 | [๖๔-๖๕] ผู้ใดเพลิดเพลิน ขันธ์ 5 ผู้นั้น ชื่อว่าเพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดเพลิดเพลินทุกข์ผู้นั้น ไม่พ้นไปจากทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินทุกข์ ผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์ได้. (อภินันทนสูตร) 27/67/1627/67/16 27/67/5 |
44 | [๖๖-๖๗] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งขันธ์ 5 นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรามรณะ ส่วนความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งขันธ์ 5 . นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความเข้าไประงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้ แห่งชรามรณะ (อุปปานสูตร) 27/68/727/68/7 27/67/18 |
45 | [๖๘-๖๙] รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เรียกว่า ทุกข์, ตัณหานำให้เกิดในภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลินมีปกติเพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหานี้เรียกว่า มูลเหตุแห่งทุกข์ (อฆมูลสูตร) 27/69/827/69/8 27/69/4 |
46 | [๗๐] รูปเป็นภาวะสลาย ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูปนั้นเป็นภาวะไม่สลาย... (ปภังคุสูตร) 27/70/327/70/3 27/70/4 |
47 | [๗๑-๗๒] ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเราจงละขันธ์ 5 นั้นเสีย เมื่อละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข. เปรียบเหมือนชนพึงนำไป พึงเผา หรือกระทำตามปัจจัยซึ่งหญ้าไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ ในเชตวันวิหารนี้ ภิกษุควรคิด หรือว่าชนย่อมนำไปย่อมเผา ซึ่งเราทั้งหลาย (นตุมหากสูตรที่ ๑) 27/71/427/71/4 27/72/5 |
48 | [๗๓] " สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข " (นตุมหากสูตรที่ ๒) 27/72/1827/72/18 27/74/3 |
49 | [๗๔-๗๕] พระพุทธองค์แสดงธรรมโดยย่อ แก่ภิกษุรูปหนึ่งเพื่อหลีกออกจากหมู่ว่า " บุคคลย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมถึงการนับเพราะสิ่งนั้น บุคคลนั้นไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมไม่ถึงการนับเพราะสิ่งนั้น " (ภิกขุสูตรที่ ๑) 27/73/1527/73/15 27/75/3 |
50 | [๗๗-๗๘] พระพุทธองค์แสดงธรรมโดยย่อแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อหลีกออกจากหมู่ว่า " บุคคลครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมหมกมุ่นสิ่งนั้น ย่อมถึงการนับเพราะสิ่งนั้น ไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมไม่หมกมุ่นสิ่งนั้น ไม่หมกมุ่นสิ่งใด ย่อมไม่ถึงการนับเพราะสิ่งนั้น " (ภิกขุสูตรที่ ๒) 27/76/327/76/3 27/77/10 |
51 | [๗๙-๘๐] พระอานนท์ ตอบคำถามซึ่งพระพุทธองค์ตั้งขึ้น ว่าความบังเกิดแห่งรูปย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งรูปย่อมปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูปที่ตั้งอยู่แล้วย่อมปรากฏ... (อานันทสูตรที่ ๑) 27/78/927/78/9 27/79/15 |
52 | ความเกิดขึ้นเรียกว่าชาติ ความดับเรียกว่า วยะ(วัย) ความแปรปรวนเรียกว่าชรา ความหล่อเลี้ยง เรียกว่า ฐิติ (อ.อานันทสูตรที่ ๑) 27/80/127/80/1 27/81/8 |
53 | [๘๑-๘๒] พระอานนท์ตอบคำถามซึ่งพระพุทธองค์ตั้งขึ้น ว่ารูปใดที่ล่วงไปแล้วดับแล้ว แปรไปแล้ว ความบังเกิดขึ้นแห่งรูปนั้นปรากฏแล้ว ความเสื่อมแห่งรูปนั้นปรากฏแล้ว ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูปที่ตั้งอยู่นั้นปรากฏแล้ว . (อานันทสูตรที่ ๒) 27/81/1527/81/15 27/83/5 |
54 | [๘๓] ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมมีธรรมอันเหมาะสม คือพึงเป็นผู้มากไปด้วยความหน่ายในขันธ์ 5 ย่อมกำหนดรู้ขันธ์ 5 ย่อมหลุดพ้นจากขันธ์ 5. (อนุธรรมสูตรที่ ๑) 27/84/327/84/3 27/86/3 |
55 | จริงอยู่ ในปริญญา 3 เหล่านั้น เว้นอนุปัสสนา อย่างใดอย่างหนึ่งเสียใครๆไม่อาจจะเบื่อหน่าย หรือกำหนดรู้ได้ . .อนุธรรมสูตรที่ ๑) 27/85/827/85/8 27/87/9 |
56 | [๘๔] ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมมีธรรมอันเหมาะสม คือ พึงเป็นผู้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในขันธ์ 5 ย่อมกำหนดรู้ขันธ์ 5 ย่อมหลุดพ้นจากขันธ์ 5 (อนุธรรมสูตรที่ ๒) 27/85/1327/85/13 27/87/14 |
57 | [๘๕] ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมมีธรรมอันเหมาะสม คือ พึงเป็นผู้พิจารณาเห็นทุกข์ในขันธ์ 5 ย่อมกำหนดรู้ขันธ์ 5 ย่อมหลุดพ้นจากขันธ์ 5.(อนุธรรมสูตรที่ ๓) 27/86/327/86/3 27/88/6 |
58 | [๘๖] ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมมีธรรมอันเหมาะสม คือ พึงเป็นผู้พิจารณาเห็น อนัตตา ในขันธ์ 5 ย่อมกำหนดรู้ขันธ์ 5 ย่อมหลุดพ้นจากขันธ์ 5 . (อนุธรรมสูตรที่ ๔) 27/86/1627/86/16 27/89/3 |
59 | [๘๗] " เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะจงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ อยู่เถิด ". (อัตตทีปสูตร) 27/88/727/88/7 27/91/4 |
60 | คนหนึ่งจะพยายาม ทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า" ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ " ก็ในที่นี้ ธรรมที่เป็นโลกิยะ และโลกุตตระ ชื่อว่าตน. (อ.อัตตทีปสูตร) 27/90/827/90/8 27/93/8 |
61 | [๘๙-๙๐] พระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิปทา อันจะยังสัตว์ให้ถึงสักกายสมุทัย (ความเกิดขึ้นแห่งกายตน) และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงสักกายนิโรธ (ความดับแห่งกายตน) (ปฏิปทาสูตร) 27/91/827/91/8 27/94/8 |
62 | [๙๑] ทรงแสดง ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แห่งขันธ์ 5 พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา. (อนิจจสูตรที่ ๑) 27/93/927/93/9 27/96/9 |
63 | [๙๓] สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่านั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้ ทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องต้น(อดีต) ย่อมไม่มีทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องปลาย(อนาคต)ย่อมไม่มี ความยึดมั่นอย่างแรงกล้าย่อมไม่มี จิตย่อมคลายกำหนัดในขันธ์ 5. . (อนิจจสูตรที่ ๒) 27/95/327/95/3 27/98/4 |
64 | [๙๔] สมณะพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้มิได้สดับย่อมพิจารณาเห็นอุปาทาน-ขันธ์ทั้ง 5 หรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ตามเห็นตนมีรูป ตามเห็นรูปในตน ตามเห็นตนในรูป... (สมนุปัสสนาสูตร) 27/96/1527/96/15 27/99/17 |
65 | [๙๕-๙๖] ทรงแสดง ขันธ์ 5 และอุปาทานขันธ์ 5 คือ รูปอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ เป็นไปกับด้วยอาสวะ (กิเลสหมักหมมในสันดาน) เป็นปัจจัยแก่อุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทานขันธ์คือรูป ... (ปัญจขันธสูตร) 27/99/1827/99/18 27/103/4 |
66 | [๙๗] ก็สมณะ หรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมพิจารณาเห็นว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา เราเป็นผู้เสมอเขา หรือเราเป็นผู้เลวกว่าเขา ด้วยรูปอันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา ที่เป็นดังนี้ มิใช่อื่นไกล นอกจากการไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง (โสณสูตรที่ ๑) 27/101/1327/101/13 27/105/5 |
67 | [๑๐๑] สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่ทราบชัด ขันธ์ 5 ไม่ทราบชัดเหตุเกิดความดับ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งขันธ์ 5 พระพุทธองค์ ไม่กล่าวสมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ หรือว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ (โสณสูตรที่ ๒) 27/104/1427/104/14 27/108/1 |
68 | [๑๐๓] ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความยินดี และความกำหนัด จิตหลุดพ้น เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว (นันทิขยสูตรที่ ๑) 27/106/727/106/7 27/109/15 |
69 | [๑๐๔] เมื่อภิกษุทำไว้ในใจซึ่งรูปโดยอุบายอันแยบคาย และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูป ตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายในรูป เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว (นันทิขยสูตรที่ ๒) 27/107/327/107/3 27/110/11 |
70 | [๑๐๕] ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติ การมา การไป จุติ อุปบัติ หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ เว้นจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ (อุปายสูตร) 27/109/1427/109/14 27/113/14 |
71 | [๑๐๕] ถ้าความกำหนัดในธาตุ มีรูปธาตุเป็นต้น เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้ง ไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิ หลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไปจึงดำรงอยู่เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้งย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น (อุปายสูตร) 27/109/1727/109/17 27/113/17 |
72 | [๑๐๖] พืช 5 อย่าง คือ พืชงอกจากเหง้า พืชงอกจากลำต้น พืชงอกจากข้อ พืชงอกจากยอด พืชงอกจากเมล็ด พืช 5 อย่างนี้ มิได้ถูกทำลาย อันบุคคล เก็บไว้ดี และมีดิน น้ำ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ (พีชสูตร) 27/110/2127/110/21 27/115/4 |
73 | [๑๐๗] พึงเห็นวิญญาณฐิติ 4 เหมือน ธาตุดิน พึงเห็นความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน เหมือนธาตุน้ำ พึงเห็นวิญญาณ พร้อมด้วยอาหาร เหมือนพืช 5 อย่าง (พีชสูตร) 27/111/1027/111/10 27/115/14 |
74 | [๑๐๘] ภิกษุน้อมใจไปอย่างนี้ว่า ถ้าเราไม่พึงมี ขันธ์ 5 ของเราก็ไม่พึงมี กรรม-สังขารจักไม่มี การปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เราดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์(สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ) ได้ (อุทานสูตร) 27/113/1327/113/13 27/117/17 |
75 | อุปนิสสัย 3 อย่าง ทานูปนิสสัย สีลูปนิสสัย ภาวนูปนิสสัย , จริงอยู่ทานูปนิสสัยและสีลูปนิสสัย ย่อมยังสัตว์ให้บรรลุมรรค 3 และผล 3 ภาวนูปนิสสัยให้บรรลุพระอรหัต ภิกษุดำรงอยู่ในอุปนิสสัย ที่มีกำลังเพลา เพียรพยายาม ตัดเครื่องผูกคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ได้แล้ว ย่อมทำมรรค 3 และผล 3 ให้เกิด (อ.อุทานสูตร) 27/117/227/117/2 27/120/18 |
76 | เรื่อง พระมิลกะเคยเป็นนายพราน เพราะกลัวนรกจึงบวช ท่านเอาฟางที่ชุ่มน้ำวางบนศีรษะ ทำความเพียร บรรลุผล 3 (อนาคามิผล) (อ.อุทานสูตร) 27/117/1527/117/15 27/121/6 |
77 | [๑๑๒] เมื่อพระพุทธองค์ยังไม่รู้ยิ่ง ซึ่งอุปาทานขันธ์ 5 โดยเวียนรอบ 4 ตามเป็นจริงคือ รู้อุปาทานขันธ์ 5 ความเกิด ความดับ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทานขันธ์ 5 นี้เพียงใด พระองค์ก็ยังไม่ปฏิญาณว่า เป็นผู้ตรัสรู้ชอบยิ่งซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ. (ปริวัฏฏสูตร) 27/121/2027/121/20 27/125/6 |
78 | [๑๑๓] มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป ความเกิดขึ้นแห่งรูปย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งอาหาร (ปริวัฏฏสูตร) 27/122/1627/122/16 27/125/21 |
79 | [๑๑๔-๑๑๖] เวทนา 6 สัญญา 6 สังขาร 6 เกิดขึ้นเพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ 27/123/1327/123/13 27/126/17 |
80 | [๑๑๗] วิญญาณ 6 เกิดขึ้นเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป (ปริวัฏฏสูตร) 27/125/927/125/9 27/128/4 |
81 | [๑๑๘] ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะ 7 ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี 3 ประการ เรียกว่า ยอดบุรุษผู้เสร็จกิจอยู่จบพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้ (สัตตัฏฐานสูตร) 27/127/1127/127/11 27/130/8 |
82 | [๑๒๔] ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจ โดยวิธี 3 ประการ คือ เพ่งพินิจโดยความเป็นธาตุโดยความเป็นอายตนะ โดยความเป็น ปฏิจจสมุปบาท (สัตตัฏฐานสูตร) 27/130/2327/130/23 27/133/7 |
83 | [๑๒๖] พระพุทธเจ้าต่างกับ ภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง ฉลาดในทาง สาวกเป็นผู้ดำเนินตาม (พุทธสูตร) 27/133/327/133/3 27/135/15 |
84 | [๑๒๗-๑๓๐] พระพุทธเจ้าแสดง อนัตตลักษณะ แก่ ภิกษุเบญจวัคคีย์ จบสูตร ภิกษุเบญจวัคคีย์ก็มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น (ปัญจวัคคิยสูตร) 27/314/1827/314/18 27/137/8 |
85 | [๑๓๑-๑๓๒] เจ้ามหาลิลิจฉวี เข้าเฝ้าทูลถาม เหตุปัจจัย ที่ทำให้สัตว์เศร้าหมองหรือบริสุทธิ์ (มหาลิสูตร) 27/139/927/139/9 27/141/15 |
86 | [๑๓๓] รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นของร้อนหนัก อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (อาทิตตสูตร) 27/142/327/142/3 27/144/3 |
87 | [๑๓๔-๑๓๖] วิถีทาง 3 ประการ คือ หลักภาษา ชื่อและบัญญัติที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ย่อมไม่ถูกทอดทิ้ง วิญญูชนไม่คัดค้าน (นิรุตติปถสูตร) 27/143/327/143/3 27/145/3 |
88 | [๑๓๘] เมื่อบุคคลยังยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณมั่นอยู่ ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่ถูกยึด จึงหลุดพ้นจากมาร (อุปาทิยสูตร) 27/149/427/149/4 27/151/4 |
89 | [๑๔๐] เมื่อบุคคลสำคัญ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณอยู่ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่สำคัญ จึงหลุดพ้นจากบ่วงมาร (มัญญมานสูตร) 27/151/227/151/2 27/153/8 |
90 | [๑๔๑] บุคคลเมื่อเพลิดเพลิน รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณอยู่ ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงหลุดพ้นจากบ่วงมาร (อภินันทมานสูตร) 27/152/2127/152/21 27/154/19 |
91 | [๑๔๒] ขันธ์ 5 เป็นของไม่เที่ยง ควรละความพอใจในขันธ์ 5 เสีย (อนิจจสูตร) 27/154/1627/154/16 27/156/4 |
92 | [๑๔๓] ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ควรละความพอใจในขันธ์ 5 เสีย (ทุกขสูตร) 27/156/427/156/4 27/157/19 |
93 | [๑๔๔] ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา ควรละความพอใจในธรรมนั้น เสีย (อนัตตสูตร) 27/157/827/157/8 27/158/19 |
94 | [๑๔๕] ขันธ์ 5 มิใช่เป็นของตน ควรละความพอใจในสภาวะนั้น เสีย (อนัตตนัยสูตร) 27/158/1527/158/15 27/160/2 |
95 | [๑๔๖] ขันธ์ 5 ล้วนจูงใจให้กำหนัด ควรละความพอใจในขันธ์ 5 เสีย (รชนิยสัญฐิตสูตร) 27/160/427/160/4 27/161/13 |
96 | [๑๔๗] พึงเห็นขันธ์ 5 ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ ย่อมพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา บุคคลรู้เห็นอย่างนี้ จึงไม่มีอหังการ(ทิฏฐิว่าเรา) มมังการ(ตัณหาว่าของเรา)และมานานุสัย(กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือ มานะ)ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก (ราธสูตร) 27/160/1727/160/17 27/162/3 |
97 | [๑๔๘] ขันธ์ 5 ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ดังนี้แล้ว เป็นผู้หลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น. (สุราธสูตร) 27/161/1727/161/17 27/163/3 |
98 | [๑๔๙] ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว จะไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งคุณ โทษของขันธ์ 5 และอุบายเครื่องสลัดออกซึ่งขันธ์ 5 (อัสสาทสูตร) 27/163/427/163/4 27/165/4 |
99 | [๑๕๐] ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว จะไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ ของขันธ์ 5 และอุบายเครื่องสลัดออกซึ่งขันธ์ 5 (สมุทยสูตรที่ ๑) 27/163/1427/163/14 27/165/12 |
100 | [๑๕๑] อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว จะรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความเกิดความดับ คุณ โทษ ของขันธ์ 5 และอุบายเครื่องสลัดออกซึ่งขันธ์ 5 (สมุทยสูตรที่ ๒) 27/164/327/164/3 27/166/6 |
101 | [๑๕๒] พระอรหันต์ ทั้งหลายเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก กว่าสัตว์ชั้น สัตตาวาส และ ภวัคคพรหม (อรหันตสูตรที่ ๑) 27/165/127/165/1 27/167/16 |
102 | สัทธรรม 7 ประการ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ (ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก) ความเป็นผู้ปรารภความเพียร ความเป็นผู้มีสติตั้งมั่น ปัญญา (อ.อรหันตสูตรที่ ๑) 27/167/1027/167/10 27/169/23 |
103 | [๑๕๔] ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งนั้นควรเห็นตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบ อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา (อรหันตสูตรที่ ๒) 27/170/927/170/9 27/172/3 |
104 | [๑๕๕-๑๕๖] อุปมาพระพุทธเจ้า กับพญาราชสีห์ (สีหสูตร) 27/171/727/171/7 27/173/7 |
105 | ราชสีห์ 4 จำพวก (อ.สีหสูตร) 27/173/827/173/8 27/175/6 |
106 | ไกรสรราชสีห์ ไปล่าเหยื่อด้วยวิธีอย่างไร ? (อ.สีหสูตร) 27/176/527/176/5 27/177/14 |
107 | สัตว์ที่ไม่กลัวเสียง พญาราชสีห์ (อ.สีหสูตร) 27/176/2127/176/21 27/178/5 |
108 | พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต ด้วยเหตุ 8 ประการ (อ.สีหสูตร) 27/181/1627/181/16 27/182/5 |
109 | [๑๕๘] สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เมื่อตามระลึกถึงชาติก่อนเป็นจำนวนมาก ก็จะระลึกได้ตามลำดับ สมณะหรือพราหมณ์ ทั้งปวงนั้น ก็จะตามระลึกถึงอุปาทานขันธ์ 5 หรือ ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง (ขัชชนิยสูตร) 27/185/327/185/3 27/185/4 |
110 | [๑๕๙] เพราะสลายไปจึงเรียกว่า รูป, เพราะเสวยจึงเรียกว่า เวทนา, เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า สัญญา, เพราะปรุงแต่ง จึงเรียกว่า สังขาร, เพราะรู้แจ้งจึงเรียกว่า วิญญาณ (ขัชชนิยสูตร) 27/185/1327/185/13 27/185/14 |
111 | [๑๖๔] เทวดาพร้อมด้วยอินทร์ พรหม และท้าวปชาบดีย่อมนมัสการ ภิกษุผู้มีจิตพ้นแล้ว (ขัชชนิยสูตร) 27/189/1627/189/16 27/189/7 |
112 | โลกันตริยนรก อยู่ในระหว่าง จักรวาล 3 จักรวาล กว้างใหญ่ ประมาณ8,000 โยชน์ (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/192/427/192/4 27/191/10 |
113 | ภิกษุ 30 รูป ตักน้ำเทลงในปาก ของกาฬกัญชิกอสูร(เปรต) ตนหนึ่ง อสูรนั้นก็ยังคงกระหายน้ำอยู่ (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/193/627/193/6 27/192/6 |
114 | ธรรมทั้งหลาย มีลักษณะอยู่ 2 ลักษณะ คือ สามัญญลักษณะ (ทั่วไป) ปัจจัต-ตลักษณ (เฉพาะตัว) (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/195/1427/195/14 27/194/1 |
115 | เวทนานั่นเองเสวยสุข ไม่ใช่สัตว์ หรือบุคคลอื่น เพราะว่า เวทนามีการเสวยอารมณ์ เป็นลักษณะ (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/196/1427/196/14 27/194/19 |
116 | ก็ชื่อว่า สัญญานี้ ควรเป็นทั้งบริกัมมสัญญา ทั้งอุปจารสัญญา ทั้งอัปปนาสัญญา.(อ.ขัชชนิยสูตร) 27/196/2027/196/20 27/194/24 |
117 | ความแตกต่างกัน ของ สัญญา วิญญาณ ปัญญา (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/199/227/199/2 27/196/13 |
118 | พระรูปหนึ่งเดินจงกรมเหยียบหนามทะลุออกหลังเท้า ท่านพิจารณากัมมัฏฐานเดินจงกรมต่อตลอดคืน โดยไม่ได้ถอนหนามออก (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/203/927/203/9 27/200/5 |
119 | ท้าวมหาพรหม 700 ได้ยืนไหว้ พระนิฏเถระ ผู้กำลังหาผ้าจากกองขยะ เพื่อบำเพ็ญมหาอริยวังสปฏิปทา ท่านบรรลุพระอรหัตตผลในเวลาปลงผมเสร็จในวันบวช. (อ.ขัชชนิยสูตร) 27/205/2027/205/20 27/202/11 |
120 | [๑๖๕-๑๖๖] พระพุทธเจ้าทรงขับไล่ภิกษุสงฆ์ ครั้นพระองค์ทรงประทับนั่งพักกลางวันได้คิดที่จะอนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์อีก ท้าวสหัมบดีพรหม ทราบความนั้นจึงลงมาอาราธนา (ปิณโฑลยสูตร) 27/207/1127/207/11 27/204/3 |
121 | [๑๖๗] " เรากล่าวบุคคลผู้เสื่อมแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ด้วย ไม่ทำประโยชน์ คือความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ด้วย ว่ามีอุปมาเหมือนกับ ดุ้นฟืนในที่เผาศพซึ่งไฟติดทั้งสองข้าง ตรงกลางก็เปื้อนคูถ จะใช้เป็นฟืนในบ้านก็ไม่ได้ จะใช้เป็นฟืนในป่าก็ไม่ได้ " (ปิณโฑลยสูตร) 27/209/1827/209/18 27/206/4 |
122 | พระพุทธเจ้าขับไล่ภิกษุสงฆ์นั้น เพราะส่งเสียงดังในที่แจก เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้งน้ำอ้อย (อ.ปิณโฑลยสูตร) 27/211/927/211/9 27/207/17 |
123 | พระพุทธเจ้าได้ทรงทำฤทธิ์ ให้ภิกษุที่ถูกขับไล่นั้น มาเข้าเฝ้าด้วยความเกรงกลัวที่ละรูป สองรูปและทรงแสดงธรรมเปรียบด้วย ก้อนข้าว จบเทศนา ภิกษุ 500 รูปนั้นบรรลุพระอรหัตตผล (อ.ปิณโฑลยสูตร) 27/215/1927/215/19 27/211/10 |
124 | สมาธิในวิปัสสนานั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อนิมิตตะ(ไม่มีนิมิต) เพราะถอนนิมิต ทั้งหลาย มีนิมิตว่าเที่ยงเป็นต้นได้ (อ.ปิณโฑลยสูตร) 27/221/1027/221/10 27/216/1 |
125 | [๑๗๑] สมัยใด พระพุทธเจ้าทรงเก็บงำเสนาสนะ ด้วยพระองค์เอง ทรงถือบาตรและจีวร มิได้ทรงเรียกภิกษุที่เป็นอุปัฏฐาก มิได้บอกภิกษุสงฆ์ พระองค์เดียวเสด็จหลีกไป สมัยนั้น พระพุทธเจ้าย่อมประสงค์ที่จะประทับแต่พระองค์เดียว(ปาลิเลยยสูตร) 27/223/427/223/4 27/217/16 |
126 | [๑๗๔-๑๘๑] ก็เมื่อบุคคลรู้อย่างไร เห็นอย่างไร อาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปโดยลำดับ ? คือ ปุถุชนผู้มิได้สดับย่อม ตามเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา การตามเห็นดังนั้นเป็นสังขาร สังขารเกิดจากตัณหา ที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชน ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว แม้สังขาร ตัณหา เวทนา ผัสสะ อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยเหตุเกิดขึ้น เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไปโดยลำดับ...(ปาลิเลยยสูตร) 27/224/1427/224/14 27/218/23 |
127 | พระพุทธเจ้าประทับอยู่จำพรรษาในบรรณศาลา ที่ชาวเมืองปาลิเลยยกะสร้างถวาย โดยมีช้างปาลิเลยยกะ เป็นผู้คอยอุปัฏฐาก (อ.ปาลิเลยยสูตร) 27/231/927/231/9 27/225/7 |
128 | [๑๘๔] อุปาทานขันธ์ 5 มีฉันทะเป็นมูล, ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ 5 เหล่านั้น เป็นตัวอุปาทาน (ปุณณมสูตร) 27/236/727/236/7 27/229/15 |
129 | [๑๘๗] มหาภูตรูป 4 เป็นปัจจัย ทำให้รูปขันธ์ปรากฏ, ผัสสะ เป็นปัจจัยทำให้เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ปรากฏ, นามรูป เป็นปัจจัยทำให้วิญญาณ-ขันธ์ปรากฏ (ปุณณมสูตร) 27/238/127/238/1 27/231/6 |
130 | [๑๘๘-๑๙๐] เหตุเกิดสักกายทิฏฐิ เหตุจะไม่มีสักกายทิฏฐิ คุณโทษ และอุบายสลัดออก ซึ่งอุปาทานขันธ์ 5 (ปุณณมสูตร) 27/238/727/238/7 27/231/11 |
131 | [๑๙๑] บุคคลรู้เห็นอย่างไร จึงจะไม่มี อหังการ มมังการ และมานานุสัยในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก ? (ปุณณมสูตร) 27/240/1027/240/10 27/233/12 |
132 | [๑๙๓] พระอานนท์สรรเสริญ พระปุณณมันตานีบุตร ว่า มีอุปการะมากแก่ภิกษุใหม่ที่ได้ให้โอวาทด้วยเรื่อง การถือมั่นขันธ์ 5 จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิ ว่าเป็นเราและพระอานนท์ ก็เป็นพระโสดาบัน เพราะโอวาทนี้ (อานันทสูตร) 27/246/527/246/5 27/239/4 |
133 | [๑๙๕-๑๙๗] พระพุทธเจ้าทรงปลอบใจพระติสสะ ลูกพระเจ้าอาของพระองค์ซึ่งไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยโอวาทถึงความไม่กำหนัดในขันธ์ 5 ถึงแม้แปรปรวนไป ก็ไม่ทุกข์ จงยินดีตามโอวาทที่พระองค์พร่ำสอนด้วยความอนุ-เคราะห์ (ติสสสูตร) 27/249/1027/249/10 27/242/10 |
134 | บุคคลใด ติดใจในกามคุณ 5 นี้มันก็จะลากจูงบุคคลนั้นไปยัดใส่ในทุคติภูมิ มีนรก เป็นต้น เพราะว่า กามทั้งหลายมีรสอร่อยน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก (อ.ติสสสูตร) 27/253/1327/253/13 27/246/8 |
135 | ท่านพระติสสะ ได้รับการปลอบใจจากสำนักพระศาสดาแล้ว พากเพียรพยายามอยู่ไม่กี่วัน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ (อ.ติสสสูตร) 27/254/327/254/3 27/246/16 |
136 | [๑๙๘] ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดขึ้นอีก ภิกษุหลายรูปทราบเรื่องจึงเข้าไปเตือน (ยมกสูตร) 27/254/1027/254/10 27/247/4 |
137 | [๑๙๙-๒๐๓] พระสารีบุตรเข้าไปแก้ความเห็นผิด ของพระยมกะ ด้วยถามปัญหาในความไม่เที่ยงในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่เป็นสัตว์บุคคล สัตว์บุคคลไม่มีในขันธ์ 5 เพราะฟังธรรมนี้ พระยมกะก็ได้เป็นพระโสดาบัน. (ยมกสูตร) 27/255/1627/255/16 27/248/8 |
138 | [๒๐๔-๒๐๗] พระสารีบุตรแสดงธรรมต่อไป อุปมาด้วย คฤหบดี และบุตรผู้มั่งคั่ง มีผู้คิดจะฆ่าโดยแฝงตัวมาเป็นคนรับใช้ แม้ผู้นั้นจะปรนนิบัติ ด้วยดีก็ย่อมเรียกว่าผู้ฆ่า เปรียบเหมือนปุถุชนผู้ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งขันธ์ 5 อันเป็นผู้ฆ่าว่าเป็นผู้ฆ่า เขาย่อมเข้าไปถือมั่น ย่อมเป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน. เพราะฟังธรรมนี้พระยมกะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ (ยมกสูตร) 27/258/1327/258/13 27/250/16 |
139 | [๒๑๐-๒๑๔] พระศาสดาแสดงธรรมว่าด้วยสัตว์บุคคลไม่มีในขันธ์ 5 แก่พระอนุราธะ และพระองค์ย่อมไม่บัญญัติว่าด้วยการตาย การเกิดของสัตว์ แต่ทรงบัญญัติทุกข์ และความดับทุกข์ (อนุราธสูตร) 27/269/2227/269/22 27/260/8 |
140 | [๒๑๖] พระวักกลิ ป่วยหนักอยู่ในโรงช่างหม้อ พระพุทธองค์ เสด็จเข้าไปให้โอวาทว่า การเห็นธรรม ชื่อว่า เห็นพระตถาคต ไม่ใช่การเห็นร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ (วักกลิสูตร) 27/275/1427/275/14 27/265/2 |
141 | [๒๑๗-๒๒๐] พระวักกลิให้ภิกษุช่วยกันหามตนไปที่วิหารกาฬศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ พระพุทธองค์ให้ภิกษุไปบอกคำของเทวดา และคำของพระองค์แก่พระวักกลิว่าอย่ากลัว ท่านจะตายแบบไม่ต่ำช้า หลังจากนั้นพระวักกลิก็เอาศาตรามาฆ่าตัวตาย (วักกลิสูตร) 27/277/1627/277/16 27/266/23 |
142 | [๒๒๑] พระพุทธองค์ และภิกษุทั้งหลาย ไปยังวิหารที่พระวักกลิฆ่าตัวตายและทรงบอกให้ภิกษุดูกลุ่มหมอกควันที่พุ่งไปทิศต่างๆ ว่านั้น คือ มาร มาตามหาวิญญาณของพระวักกลิ แต่พระวักกลิปรินิพพานแล้ว (วักกลิสูตร) 27/280/1727/280/17 27/269/15 |
143 | การที่ภิกษุผู้มีพรรษาอ่อนกว่า เห็นภิกษุผู้มีพรรษาแก่กว่า แม้ตนเองจะป่วยหนักก็ต้อง แสดงความนอบน้อมด้วยการลุกขึ้นนี้ คือ เป็นธรรมเนียม แต่ภิกษุผู้มีพรรษาแก่กว่านั้น ก็ต้องบอกเธอว่า อย่าลุกขึ้นเลย (อ.วักกลิสูตร) 27/282/327/282/3 27/270/17 |
144 | ในสมัยพุทธกาล ในที่อยู่ของภิกษุแม้รูปหนึ่ง จะปูลาดอาสนะไว้รอท่าเหมือนกันหมดด้วยหวังว่า ถ้าพระศาสดาจักเสด็จมาไซร้ จะได้ประทับนั่งบนอาสนะนี้(อ.วักกลิสูตร) 27/282/727/282/7 27/270/22 |
145 | ธรรมกาย คือ พระตถาคต ความจริงโลกุตตรธรรม 9 คือมรรค 4 ผล 4 นิพพาน1 ชื่อว่าพระกายของพระตถาคต (อ.วักกลิสูตร) 27/283/427/283/4 27/271/17 |
146 | พระวักกลิ เอามีดปาดก้านคอตนเอง แล้วถือเอากัมมัฏฐานมาพิจารณา ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วมรณภาพ. (อ.วักกลิสูตร) 27/283/1827/283/18 27/272/4 |
147 | [๒๒๓-๒๒๔] พระอัสสชิป่วยหนัก ไม่สามารถทำสมาธิให้แนบแน่นได้ จึงสงสัยว่าตนเสื่อมจากศาสนา พระพุทธองค์แสดงความไม่เที่ยงในขันธ์ 5 อริยสาวกย่อมทราบชัดว่าถ้าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก่อนแต่จะสิ้นชีวิตเพราะกายแตกความเสวยอารมณ์ ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น (อัสสชิสูตร) 27/285/2027/285/20 27/273/21 |
148 | ความว่าสมาธิเป็นสาระและเป็นสามัญญผล แต่ในศาสนาของเราตถาคต ยังไม่ใช่สาระ วิปัสสนามรรค และผล เป็นต้น ต่างหาก เป็นสาระ (อ.อัสสชิสูตร) 27/289/427/289/4 27/276/13 |
149 | บุคคลประสบทุกข์ แล้วย่อมปรารถนาสุข ซึ่งก็คือปรารถนาทุกข์นั่นเอง เพราะทุกข์มาถึง เพราะสุขแปรปรวนไป (อ.อัสสชิสูตร) 27/290/127/290/1 27/277/5 |
150 | [๒๒๕-๒๓๐] พระเขมกะป่วยหนักอยู่ที่พทริการาม ส่วนพระเถระ 60 รูป อยู่โฆสิตาราม อยากฟังธรรมเทศนาของพระเขมกะ จึงใช้พระทาสกะ เดินไปมาหลายรอบ เพื่อนำคำถามตอบเกี่ยวกับ อัตตาในขันธ์ 5มา สุดท้ายพระเขมกะจึงเดินยันไม้เท้าไปหาพระเถระ 60 รูปนั้น เป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร จบการ ตอบคำถาม พระเถระ 60 รูปและพระเขมกะ ก็บรรลุอรหันต์ (เขมกสูตร) 27/290/827/290/8 27/277/12 |
151 | [๒๒๙] พระอนาคามีละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แล้วก็จริง แต่ท่านยังถอนมานะ ฉันทะ อนุสัยอย่างละเอียดในอุปาทานขันธ์ 5 ว่าเรามีไม่ได้ (เขมกสูตร) 27/295/1227/295/12 27/282/1 |
152 | ปุถุชนสอนปุถุชน บรรลุมรรคผล (อ.เขมกสูตร) 27/299/127/299/1 27/285/6 |
153 | [๒๓๑-๒๓๔] พระฉันนะเข้าไปหาพระเถระหลายรูป ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ให้กล่าวสอนตน พระเถระเหล่านั้นได้แสดงความไม่เที่ยง และไม่ใช่ตัวตน ของขันธ์ 5 แต่พระฉันนะยังเข้าใจไม่ได้ จึงไปถามพระอานนท์ ที่โฆสิตาราม พระอานนท์ แสดงกัจจายนสูตร จบแล้ว พระฉันนะเข้าใจธรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง .(ฉันนสูตร) 27/299/1227/299/12 27/285/16 |
154 | เมื่อพระฉันนะถูกลงพรหมทัณฑ์ แล้วท่านก็เกิดความเร่าร้อน จนสลบล้มลง.(อ.ฉันนสูตร) 27/304/1227/304/12 27/289/19 |
155 | พระอานนท์ เลือก เฟ้นพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ก็ได้เห็นกัจจายนสูตรว่าเหมาะที่จะแสดงแก่พระฉันนะ (อ.ฉันนสูตร) 27/306/927/306/9 27/291/6 |
156 | [๒๓๕] รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ บุคคลพิจารณาเห็นรูป ทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า นั้นไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา... เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้แล อหังการ(ทิฏฐิว่าเรา) มมังการ(ตัณหาว่าของเรา) และมานานุสัย(กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือ มานะ) ในกายที่มีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก จึงจะไม่มี (ราหุลสูตรที่ ๑) 27/306/2127/306/21 27/291/17 |
157 | [๒๓๖] รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ บุคคลพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเราแล้วย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น...เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ใจจึงปราศจากอหังการ มมังการและมานานุสัยในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก เป็นของก้าวล่วงด้วยดี ในส่วนแห่งมานะ สงบแล้วหลุดพ้นดีแล้ว (ราหุลสูตรที่ ๒) 27/307/2127/307/21 27/292/15 |
158 | [๒๓๗] ทรงเปรียบบุคคลซึ่งถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวพัดไป ถ้าเขาจับเอาต้นเลา หรือหญ้าก็ต้องถึงความพินาศไปตามกระแสน้ำ เหมือน บุคคล ตามเห็นขันธ์ 5 โดยความเป็นอัตตา,เห็นอัตตามีขันธ์ 5 เห็นขันธ์ 5 ในอัตตา, เห็นอัตตาในขันธ์ 5, ถ้าขันธ์ 5 ของบุคคลนั้นย่อยยับไป เขาจะพึงถึงความพินาศ อันมีความย่อยยับ นั้นเป็นเหตุ. (นทีสูตร) 27/310/427/310/4 27/295/4 |
159 | [๒๓๙] " เราตถาคต ไม่กล่าวขัดแย้งกับโลก แต่ชาวโลกกล่าวขัดแย้งกับเรา ตถาคต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวเป็นธรรมจะไม่กล่าวขัดแย้งกับใครๆ ในโลก ".(ปุปผสูตร) 27/313/427/313/4 27/298/8 |
160 | [๒๓๙] สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี พระพุทธองค์ก็กล่าวว่าไม่มี นั้นคือ ขันธ์ 5 มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดาซึ่งไม่มี สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี พระพุทธองค์ก็กล่าวว่ามี นั่นคือ ขันธ์ 5 มีแปรปรวนเป็นธรรมดา (ปุปผสูตร) 27/313/1427/313/14 27/298/12 |
161 | [๒๔๐] " เมื่อตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ผู้ใดไม่รู้ไม่เห็น เราจะไปว่าอะไรเขาผู้เป็นคนโง่ เป็นปุถุชน เป็นคนบอดไม่มีจักษุ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่ " (ปุปผสูตร) 27/314/827/314/8 27/299/12 |
162 | [๒๔๑] พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก ครอบงำโลกอยู่ แต่โลกไม่แปดเปื้อนพระองค์ได้ เหมือนดอกบัวเกิดขึ้นพ้นน้ำตั้งอยู่ แต่ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ(ปุปผสูตร) 27/314/1727/314/17 27/299/22 |
163 | พระพุทธเจ้ามีหน้าที่อยู่เฉพาะก็แต่การบอกข้อปฏิบัติ ส่วนการบำเพ็ญข้อปฏิบัติเป็นหน้าที่ของกุลบุตรทั้งหลาย (อ.ปุปผสูตร) 27/315/927/315/9 27/300/9 |
164 | [๒๔๒] รูป เป็นของว่าง ของเปล่า หาสาระมิได้เลย เปรียบ เหมือนฟองน้ำ .(เผณปิณฑสูตร) 27/316/327/316/3 27/301/3 |
165 | [๒๔๓] เวทนาเป็นของว่าง ของเปล่า หาสาระมิได้เลย เปรียบเหมือนต่อมน้ำ .(เผณปิณฑสูตร) 27/316/1527/316/15 27/301/14 |
166 | [๒๔๔] สัญญาเป็นของว่าง ของเปล่า หาสาระมิได้เลย เปรียบเหมือนพะยับแดดเต้นระยิบระยับ (เผณปิณฑสูตร) 27/317/127/317/1 27/302/1 |
167 | [๒๔๕] สังขาร เป็นของว่าง ของเปล่า หาสาระมิได้เลย เปรียบเหมือน ต้นกล้วย.(เผณปิณฑสูตร) 27/317/727/317/7 27/302/6 |
168 | [๒๔๖] วิญญาณเป็นของว่าง ของเปล่า หาสาระมิได้เลย เปรียบเหมือนมายากล.(เผณปิณฑสูตร) 27/317/2227/317/22 27/302/20 |
169 | [๒๔๗] " ขันธ์ เราตถาคตกล่าวว่า เป็นเพชฌฆาต ตนหนึ่ง สาระในเบญจขันธ์นี้ไม่มี ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว มีสติสัมปชัญญะ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน... " (เผณปิณฑสูตร) 27/319/627/319/6 27/303/22 |
170 | รูปเป็นทั้งเรือนเกิดเป็นส้วม เป็นโรงพยาบาล เป็นทั้งป่าช้าของหมู่หนอน 80 เหล่า อาศัยอยู่กันเป็นตระกูลทีเดียว. (อ.เผณปิณฑสูตร) 27/321/1727/321/17 27/306/1 |
171 | เวทนาย่อมเกิด และสลายตัวไป อยู่ได้ไม่นานในขณะชั่วลัดนิ้วมือเดียว เกิดแล้วดับไป นับได้แสนโกฏิครั้ง (อ.เผณปิณฑสูตร) 27/323/327/323/3 27/307/7 |
172 | สัญญา ย่อมหลอกล่อคนจำนวนมากให้หลง ให้พูดว่า รูปนี้สีเขียว สวยงามเป็นสุข เที่ยง (อ.เผณปิณฑสูตร) 27/324/127/324/1 27/308/1 |
173 | ขันธ์ เป็นเพชฌฆาต ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ 1.ด้วยการฆ่ากันเอง 2.เมื่อขันธ์มีอยู่ ผู้ฆ่าก็ปรากฏ (อ.เผณปิณฑสูตร) 27/326/1127/326/11 27/310/2 |
174 | [๒๔๙] พระพุทธองค์ทรงหยิบก้อนขี้วัวเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้ว ตอบภิกษุรูปหนึ่งถึงการไม่มีอัตภาพที่ได้แล้ว แม้ประมาณเท่านี้เลย ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ถ้ามีอัตภาพที่ได้มาประมาณเท่านี้ ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน ไม่แปรปรวน การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบก็จะไม่ปรากฏ. (โคมยปิณฑสูตร) 27/328/1327/328/13 27/311/23 |
175 | [๒๕๐-๒๕๑] ความไม่เที่ยงแห่งสมบัติของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ (โคมยปิณฑสูตร) 27/329/127/329/1 27/312/10 |
176 | [๒๕๓] พระพุทธองค์ ทรงใช้ปลายเล็บช้อนฝุ่นขึ้นนิดหน่อย แล้วตอบภิกษุรูปหนึ่ง ถึงการไม่มีขันธ์ 5 แม้ประมาณเท่านี้เลยที่เป็นของเที่ยงยั่งยืน ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา. ถ้ามีดังนี้ ก็จะไม่ปรากฏการอยู่ประพฤติพรหม-จรรย์นี้ เพื่อความสิ้นทุกข์ โดยถูกต้อง (นขสิขาสูตร) 27/336/827/336/8 27/318/21 |
177 | [๒๕๕] ภิกษุรูปหนึ่ง ถามถึง ขันธ์ 5 ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน ไม่มีความแปรปรวนมีหรือไม่ ? พระพุทธองค์ตอบว่า ไม่มีเลย (สามุททกสูตร) 27/338/1527/338/15 27/321/3 |
178 | [๒๕๗] ผู้เห็นขันธ์ 5 โดยความเป็นอัตตา หรือ ตามเห็นอัตตาใน ขันธ์ 5 เปรียบเหมือนหมาที่เขาล่ามเชือกไว้กับเสา เขาจะแล่นวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ เขาจะไม่พ้นไปจากทุกข์ (คัททูลสูตรที่ ๑) 27/340/1627/340/16 27/323/1 |
179 | ในสมัยใดเมื่อพระอาทิตย์ ดวงที่ 5 อุทัยขึ้น มหาสมุทร ทะเลหลวง ก็จักเหือดแห้ง.(อ.คัททูลสูตรที่ ๑) 27/341/1727/341/17 27/324/4 |
180 | [๒๕๙] สัตว์ทั้งหลาย จะเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายจะ ผ่องแผ้ว เพราะ จิตผ่องแผ้ว. จรณจิต (จิตรกรรม) แม้นั้นแล จิตนั่นแหละ คิดแล้ว จิตนั่นเองยังวิจิตรกว่า จรณจิต (คัททูลสูตรที่ ๒) 27/343/1127/343/11 27/325/21 |
181 | [๒๖๑-๒๖๒] เมื่อภิกษุไม่ประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ถึงจะปรารถนาความสิ้นอาสวะ ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าประกอบภาวนานุโยคเนืองๆ มีสติปัฏฐาน 4เป็นต้น แม้ไม่ปรารถนาว่าจิตของเราจงพ้นจากอาสวะ แต่จิตของเธอก็จะพ้นจากอาสวะเหมือนฟองไข่ที่แม่ไก่กกดีแล้ว เหมือนด้ามมีดของช่างไม้ เหมือนเชือกที่ผูกเรือเดินสมุทร ฉะนั้น. (นาวาสูตร) (วาสิชฏสูตร) 27/348/327/348/3 27/329/21 |
182 | อาสวะทั้งหลายของบรรพชิต สิ้นอยู่เป็นนิตย์ เพราะอุทเทส (การเรียนการสอน)เพราะปริปุจฉา (การสอบถาม) เพราะการทำไว้ในใจโดยแยบคาย และเพราะวัตตปฏิบัติ โดยสังเขป คือ การบรรพชา (อ.นาวาสูตร) (วาสิชฏสูตร) 27/354/927/354/9 27/335/12 |
183 | [๒๖๓] อนิจจสัญญา ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ครอบงำรูปราคะ(ความติด ใจในรูปธรรม) ภวราคะ(ความกำหนัดในภพ) อวิชชาทั้งปวงได้ จะถอนอัสมิมานะ(การถือตัวว่าเป็นเรา) ทั้งปวงขึ้นได้ (สัญญาสูตร) 27/356/1627/356/16 27/337/5 |
184 | [๒๖๗-๒๖๙] กลิ่นกะลำพัก เป็นเลิศกว่า กลิ่นที่เกิดจากรากทั้งหลาย,จันทน์แดง เป็นเลิศกว่าไม้ที่มีกลิ่นที่แก่นทั้งหลาย ดอกมะลิเป็นเลิศกว่ากลิ่นที่เกิดจากดอกทั้งหลาย (สัญญาสูตร) 27/357/1427/357/14 27/338/3 |
185 | [๒๗๔-๒๗๘] พระพุทธเจ้าทรงแสดง ส่วน 4 อย่าง คือ สักกายะ ความเกิดขึ้นแห่งสักกายะ ความดับแห่งสักกายะ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสักกายะ .(อันตสูตร) 27/363/527/363/5 27/342/5 |
186 | [๒๗๙-๒๘๓] พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความดับทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ (ทุกขสูตร) 27/365/327/365/3 27/344/3 |
187 | [๒๘๕] สักกายะ คือ อุปาทานขันธ์ 5 อุปาทานขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สักกายสูตร) 27/366/1227/366/12 27/345/12 |
188 | [๒๘๙-๒๙๒] ทรงแสดงธรรมที่ควรกำหนดรู้ การกำหนดรู้ และบุคคลผู้กำหนดรู้,ธรรมที่ควรกำหนดรู้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ปริญเญยยสูตร) 27/367/1727/367/17 27/347/3 |
189 | [๒๙๓] สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่ทราบชัด คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกของอุปาทานขันธ์ 5 ตามเป็นจริงจะไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ ทั้งจะไม่กระทำให้แจ้ง ซึ่งสามัญญผล หรือ พรหมัญญผล ในปัจจุบัน เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองเข้าถึงอยู่.(สมณสูตรที่ ๑) 27/369/327/369/3 27/348/8 |
190 | [๒๙๕] สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัด เหตุเกิด ความดับสูญ คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ 5 จะไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์. (สมณสูตรที่ ๒) 27/370/727/370/7 27/349/13 |
191 | [๒๙๖] เพราะเหตุที่อริยสาวกรู้ชัด เหตุเกิดขึ้น ความดับสูญ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง. พระตถาคตเรียกอริยสาวกนี้ว่า ผู้มีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ผู้เที่ยงแท้ ผู้ที่จะได้ตรัสรู้ในภายหน้า.(โสตาปันนสูตร) 27/370/1627/370/16 27/350/5 |
192 | [๒๙๗] เพราะเหตุที่ภิกษุรู้แจ้ง เหตุเกิด ความดับสูญ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 ตามความจริง แล้วเป็นผู้หลุดพ้น เพราะไม่ยึดมั่น. พระตถาคต เรียกภิกษุนี้ว่า เป็นพระอรหันตขีณาสพ (อรหันตสูตร) 27/371/827/371/8 27/351/3 |
193 | [๒๙๘] ภิกษุจงละฉันทะ(ความพอใจ) ราคะ(ความกำหนัด) นันทิ(ความเพลิดเพลิน)ตัณหา (ความทะยานอยาก) ในรูป เป็นต้น รูปนั้นที่ละได้แล้วอย่างนี้ จักมีรากขาดทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มีไม่เป็น มีการไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา.(ฉันทปหีนสูตร) 27/371/1927/371/19 27/351/14 |
194 | [๒๙๙] ภิกษุจงละฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา อุบาย(การเข้าถึง) อุปาทาน(ความยึดมั่น) อันเป็นที่ตั้งเป็นที่อยู่ประจำ และที่อยู่อาศัยแห่งจิตในรูปเสีย รูปนั้นที่ละแล้วอย่างนี้ จักมีรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาล ยอดด้วนทำให้ไม่มีไม่เป็น มีการไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา...(ฉันทปหีนสูตรที่ ๒) 27/372/1227/372/12 27/352/6 |
195 | [๓๐๐] ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับไม่รู้ชัดซึ่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งความเกิดรูป ไม่รู้ชัดซึ่งความดับรูปไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับรูป... นี้เรียกว่า อวิชชา (อวิชชาสูตร) 27/374/427/374/4 27/354/4 |
196 | [๓๐๑] อริยสาวกผู้ได้สดับรู้ชัดซึ่งรูป รู้ชัดซึ่งความเกิดรูป รู้ชัดซึ่งความดับรูป รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับรูป... นี้เรียกว่า วิชชา (วิชชาสูตร) 27/375/727/375/7 27/355/12 |
197 | [๓๐๒] หากว่าภิกษุแสดงธรรมเพื่อ ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับขันธ์ 5 ควรเรียกว่า ภิกษุธรรมกถึก. (ธรรมกถิกสูตรที่ ๑) 27/376/727/376/7 27/356/9 |
198 | [๓๐๓] หากว่าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธ์ 5 ควรจะเรียกว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. (ธรรมกถิกสูตรที่ ๒) 27/377/1027/377/10 27/357/15 |
199 | [๓๐๔] ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเป็นผู้ถูกเครื่องจองจำ คือ ขันธ์ 5 จองจำไว้แล้ว. (พันธนสูตร) 27/378/1127/378/11 27/359/3 |
200 | [๓๐๖] ภิกษุพึงพิจารณาเห็น ขันธ์ 5 ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่านั่นมิใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่เป็นอัตตาของเรา ดังนี้ (ปริมุจจิตสูตรที่ ๑) 27/380/1327/380/13 27/361/3 |
201 | [๓๐๗] ว่าด้วยการพิจารณาเห็นขันธ์ 5 เพื่อความหลุดพ้น (ปริมุจจิตสูตรที่ ๒) 27/381/1027/381/10 27/362/4 |
202 | [๓๐๘] ขันธ์ 5 ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ , ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในขันธ์ 5 ชื่อว่า สังโยชน์. (สังโยชนสูตร) 27/382/327/382/3 27/362/17 |
203 | [๓๐๙] ขันธ์ 5 ชื่อว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน, ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในขันธ์ 5 ชื่อว่า อุปาทาน (อุปาทานสูตร) 27/382/1327/382/13 27/363/8 |
204 | [๓๑๐-๓๑๔] ภิกษุผู้มีศีล ควรกระทำอุปาทานขันธ์ 5 ไว้ในใจโดยแยบคายโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นอนัตตา. แม้พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็พึงทำไว้ในใจโดยแยบคายดังนี้. (สีลสูตร) 27/383/327/383/3 27/364/3 |
205 | [๓๑๗] แม้ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ก็ควรทำอุปาทาน ขันธ์ 5 ไว้ในใจโดยแยบคาย เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะเท่านั้น (สุตวาสูตร) 27/387/1327/387/13 27/368/1 |
206 | [๓๑๘] รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ มีอยู่ในที่ไกล หรือใกล้ ก็ดีอริยสาวกเห็นสิ่งทั้งหมดนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา เมื่อรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัยในกายที่มีใจครองนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก. (กัปปสูตรที่ ๑) 27/388/927/388/9 27/369/3 |
207 | [๓๑๙] ขันธ์ 5 อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ดี อริยสาวกเห็นสิ่งทั้งหมด นั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา เมื่อรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัยในกายที่มีใจครองนี้และในสรรพนิมิตภายนอก ก้าวล่วงมานะด้วยดี สงบ ระงับ พ้นวิเศษแล้ว(กัปปสูตรที่ ๒) 27/389/1027/389/10 27/370/3 |
208 | [๓๒๐] ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา... นี้เรียกว่า อวิชชา (สมุทยธรรมสูตรที่ ๑) 27/391/427/391/4 27/372/4 |
209 | [๓๒๒] พระมหาโกฏฐิตะ ถามพระสารีบุตร ถึงความหมายของ อวิชชา.(สมุทยธรรมสูตรที่ ๒) 27/393/327/393/3 27/374/3 |
210 | [๓๒๓] พระมหาโกฏฐิตะ ถามพระสารีบุตร ถึงความหมายของ วิชชา.(สมุทยธรรมสูตรที่ ๓) 27/393/1527/393/15 27/374/16 |
211 | [๓๒๔] พระสารีบุตร ตอบพระมหาโกฏฐิตะ ถึงความหมายของอวิชชาว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งคุณ โทษ และอุบาย เป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่านี้ (สสาทสูตรที่ ๑) 27/394/627/394/6 27/375/9 |
212 | [๓๒๕] พระสารีบุตร ตอบพระมหาโกฏฐิตะ ถึงความหมายของวิชชา ว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งคุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่านี้ (สสาทสูตรที่ ๒) 27/394/2027/394/20 27/376/3 |
213 | [๓๒๖] พระสารีบุตร ตอบพระมหาโกฏฐิตะ ถึงความหมายของอวิชชา ว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณ โทษและ อุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ (สมุทยธรรมสูตรที่ ๑) 27/395/1227/395/12 27/376/16 |
214 | [๓๒๗] พระสารีบุตร ตอบพระมหาโกฏฐิตะ ถึงความหมายของวิชชา ว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ (สมุทยธรรมสูตรที่ ๒) 27/396/327/396/3 27/377/9 |
215 | [๓๒๘] พระมหาโกฏฐิตะตอบพระสารีบุตร ถึงความหมายของอวิชชา ว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งคุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 นี้เรียกว่า อวิชชา (โกฏฐิตสูตรที่ ๑) 27/396/1727/396/17 27/378/3 |
216 | [๓๓๑] พระมหาโกฏฐิตะตอบพระสารีบุตร ถึงความหมายของวิชชา ว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งคุณ โทษ และอุบาย เป็นเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ 5 นี้เรียกว่า วิชชา (โกฏฐิตสูตรที่ ๒) 27/398/927/398/9 27/379/14 |
217 | [๓๓๒] พระมหาโกฏฐิตะตอบพระสารีบุตร ถึงความหมายของอวิชชา ว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งรูป ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งรูปไม่รู้ชัดซึ่ง ความดับแห่งรูป ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งรูป... นี้เรียกว่าอวิชชา.(โกฏฐิตสูตรที่ ๓) 27/398/2227/398/22 27/380/3 |
218 | [๓๓๔] รูปเป็นของร้อน เวทนาเป็นของร้อน สัญญาเป็นของร้อน สังขารเป็นของร้อน วิญญาณเป็นของร้อน อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อ-หน่าย แม้ในรูป... (กุกกุฬสูตร) 27/401/427/401/4 27/382/4 |
219 | [๓๓๕] ภิกษุพึงละฉันทะในสิ่งที่ไม่เที่ยงเสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ? รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง พึงละฉันทะ ในรูปนั้นเสีย... วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง พึงละฉันทะในวิญญาณนั้นเสีย (อนิจจสูตรที่ ๑) 27/401/1627/401/16 27/383/3 |
220 | [๓๓๖] ภิกษุพึงละราคะในสิ่งที่ไม่เที่ยงเสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ? รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง พึงละราคะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง พึงละราคะในวิญญาณนั้นเสีย (อนิจจสูตรที่ ๒) 27/402/327/402/3 27/383/10 |
221 | [๓๓๗] ภิกษุพึงละฉันทราคะในสิ่งที่ไม่เที่ยงเสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ? รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง พึงละฉันทราคะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง พึงละฉันทราคะในวิญญาณนั้นเสีย (อนิจจสูตรที่ ๓) 27/401/1127/401/11 27/384/3 |
222 | [๓๓๘] ภิกษุพึงละฉันทะในสิ่งที่เป็นทุกข์เสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ? รูปเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ พึงละฉันทะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ พึงละฉันทะในวิญญาณนั้นเสีย (ทุกขสูตรที่ ๑) 27/402/1927/402/19 27/384/11 |
223 | [๓๓๘] ภิกษุพึงละราคะในสิ่งที่เป็นทุกข์เสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ? รูปเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ พึงละราคะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ พึงละราคะในวิญญาณนั้นเสีย (ทุกขสูตรที่ ๒) 27/403/727/403/7 27/385/3 |
224 | [๓๓๘] ภิกษุพึงละฉันทราคะในสิ่งที่เป็นทุกข์เสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ? รูปเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ พึงละฉันทราคะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์พึงละฉันทราคะในวิญญาณนั้นเสีย (ทุกขสูตรที่ ๓) 27/403/1427/403/14 27/385/10 |
225 | [๓๓๙] ภิกษุพึงละฉันทะในสิ่งที่เป็นอนัตตาเสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา ? รูปเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา พึงละฉันทะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็น อนัตตา พึงละฉันทะในวิญญาณนั้นเสีย (อนัตตสูตรที่ ๑) 27/404/327/404/3 27/386/3 |
226 | [๓๔๐] ภิกษุพึงละราคะในสิ่งที่เป็นอนัตตาเสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา ? รูปเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา พึงละราคะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็น อนัตตา พึงละราคะในวิญญาณนั้นเสีย (อนัตตสูตรที่ ๒) 27/404/1127/404/11 27/386/11 |
227 | [๓๔๑] ภิกษุพึงละฉันทราคะในสิ่งที่เป็นอนัตตาเสีย ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา ? รูปเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา พึงละฉันทราคะในรูปนั้นเสีย... วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา พึงละฉันทราคะในวิญญาณนั้นเสีย (อนัตตสูตรที่ ๓) 27/404/1827/404/18 27/387/3 |
228 | [๓๔๒] การอยู่ที่มาด้วยความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 นี้ ย่อมเป็นธรรมสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา ผู้อยู่มากด้วยความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 ย่อมกำหนดรู้ซึ่งขันธ์ 5 เมื่อกำหนดรู้ซึ่ง ขันธ์ 5 ย่อมหลุดพ้นไปจากขันธ์ 5 จาก ชาติ ชรา ฯลฯ ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ (กุลปุตตสูตรที่ ๑) 27/405/627/405/6 27/387/11 |
229 | [๓๔๓] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในขันธ์ 5 อยู่นี้ ย่อมเป็นธรรมสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในขันธ์ 5 อยู่ ย่อมกำหนดรู้ซึ่งขันธ์ 5 เมื่อกำหนดรู้ซึ่งขันธ์ 5 อยู่ ย่อมหลุดพ้นไปจากขันธ์ 5 จากชาติ ชรา ฯลฯ ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ (กุลปุตตสูตรที่ ๒) 27/405/1727/405/17 27/388/3 |
230 | [๓๔๔] การพิจารณาเห็นความเป็นทุกข์ในขันธ์ 5 นี้ ย่อมเป็นธรรมสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา (กุลปุตตสูตรที่ ๓) 27/406/727/406/7 27/388/14 |
231 | [๓๔๕] การพิจารณาเห็นความเป็นอนัตตาในขันธ์ 5 อยู่นี้ ย่อมเป็นธรรมสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา เมื่อพิจารณาเห็นอนัตตาในขันธ์ 5 อยู่ ย่อมกำหนดรู้ซึ่งขันธ์ 5 เมื่อกำหนดรู้ซึ่ง ขันธ์ 5 อยู่ ย่อมหลุดพ้นไปจากขันธ์ 5 จาก ชาติ ชรา ฯลฯ ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ (กุลปุตตสูตรที่ ๔) 27/406/1427/406/14 27/389/3 |
232 | [๓๔๖] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป สุข และทุกข์ ภายใน จึงเกิดขึ้น... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ สุขและทุกข์ ภายในจึงเกิดขึ้น. .(อัชฌัตติกสูตร) 27/408/827/408/8 27/391/8 |
233 | [๓๔๘] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป บุคคลจึงตามเห็นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณเพราะยึดมั่นวิญญาณ บุคคลจึงตามเห็นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา. (เอตังมมสูตร) 27/410/327/410/3 27/393/8 |
234 | [๓๕๐] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีทิฏฐิอย่างนี้ว่าตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคงมีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา... (เอโสอัตตสูตร) 27/412/127/412/1 27/395/4 |
235 | [๓๕๒] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีทิฏฐิอย่างนี้ว่าเราไม่พึงมี บริขารของเราไม่พึงมี เราจักไม่มี บริขารของเราจักไม่มี... (โนจเมสิยาสูตร) 27/414/327/414/3 27/397/1 |
236 | [๓๕๔] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ (มิจฉาทิฏฐิสูตร) 27/415/1427/415/14 27/398/7 |
237 | [๓๕๖] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ(ความเห็นว่าเป็นตัวของตน)... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ (สักกายทิฏฐิสูตร) 27/417/127/417/1 27/399/11 |
238 | [๓๕๘] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ(ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน)... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ (อัตตานุทิฏฐิสูตร) 27/418/727/418/7 27/400/18 |
239 | [๓๖๐] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดความพัวพันด้วยสังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์) และความยึดมั่น...เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดความพัวพันด้วยสังโยชน์ และความยึดมั่น. (อภินิเวสสูตรที่ ๑) 27/419/1527/419/15 27/402/8 |
240 | [๓๖๒] เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดความพัวพันและความหมกมุ่นด้วยสังโยชน์ และความยึดมั่น... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดความพัวพันและความหมกมุ่นด้วยสังโยชน์ และความยึดมั่น. (อภินิเวสสูตรที่ ๒) 27/421/527/421/5 27/403/15 |
241 | [๓๖๔-๓๖๕] พระอานนท์เข้าเฝ้าขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรมโดยย่อ เพื่อหลีกออกจากหมู่ ทำความเพียร พระองค์ทรงแสดงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ในขันธ์ 5และพึงเห็นขันธ์ 5 ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ตามจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (อานันทสูตร) 27/422/1027/422/10 27/405/3 |
242 | พระอานนท์เถระรับกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อมนสิการกรรมฐานครั้งหนึ่ง หรือสองครั้ง ก็พึงไปด้วยคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า.(อ.อานันทสูตร) 27/424/727/424/7 27/407/3 |
243 | [๓๖๖] เมื่อรูปมีอยู่ มาร(ความตาย) จึงมี ผู้ทำให้ตายจึงมี ผู้ตายจึงมีเพราะฉะนั้นแหละ จงพิจารณาเห็นรูปว่าเป็นมาร เป็นผู้ทำให้ตาย เป็นผู้ตาย เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์... (มารสูตร) 27/426/1027/426/10 27/409/10 |
244 | [๓๖๗] เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในขันธ์ 5 เป็นผู้ข้องในขันธ์ 5 เป็นผู้เกี่ยวข้องในขันธ์ 5 จึงเรียกว่าสัตว์.(สัตตสูตร) 27/429/127/429/1 27/412/1 |
245 | [๓๖๘] ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความทะยานอยาก ความเข้าถึง ความยึดมั่น อันเป็นที่ตั้ง เป็นที่ยึดมั่น เป็นอนุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน)แห่งจิต ในขันธ์ 5 นี้เรียกว่า กิเลสเครื่องนำสัตว์ไปสู่ภพ. (ภวเนตติสูตร) 27/431/627/431/6 27/414/2 |
246 | [๓๖๙] ขันธ์ 5 เป็น ปริญเญยยธรรม (ธรรมที่ควรกำหนดรู้) (ปริญเญยยสูตร) 27/432/327/432/3 27/415/3 |
247 | [๓๗๐] ทรงแสดงธรรมแก่ พระราธะ ถึงสมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดซึ่งคุณ โทษ และธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง อุปาทานขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ได้รับยกย่องว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ (ปฐมสมณพราหมณสูตร) 27/433/327/433/3 27/416/4 |
248 | [๓๗๒] ทรงแสดงธรรมแก่พระราธะ ถึงสมณะ หรือพราหมณ์ เหล่าใด ไม่รู้ชัดเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ได้รับยกย่องว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ (ทุติยสมณพราหมณสูตร) 27/434/927/434/9 27/417/10 |
249 | [๓๗๓] ในกาลใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบาย เป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง เมื่อนั้นอริยสาวกนี้พระพุทธองค์กล่าวว่า เป็นโสดาบันผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า (โสตาปันนสูตร) 27/435/1127/435/11 27/418/11 |
250 | [๓๗๔] ในกาลใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง อุปาทานขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง แล้วย่อมเป็นผู้หลุดพ้น เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ (อรหันตสูตร) 27/436/327/436/3 27/419/3 |
251 | [๓๗๕] ทรงตรัสให้พระราธะ จงละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความทะยานอยากในรูปเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็นอันเธอได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา... (ปฐมฉันทราคสูตร) 27/436/1527/436/15 27/419/15 |
252 | [๓๗๖] ทรงตรัสให้พระราธะ จงละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความทะยานอยาก ความเข้าถึง ความยึดมั่น อันเป็นที่ตั้ง ที่อยู่อาศัยแห่ง จิตในรูปเสียด้วยอาการอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ไห้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา... .(ทุติยฉันทราคสูตร) 27/437/627/437/6 27/420/7 |
253 | [๓๗๗] ขันธ์ 5 เป็นมาร(ความตาย) อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. (มารสูตร) 27/438/427/438/4 27/422/4 |
254 | [๓๗๘] ขันธ์ 5 เป็นมารธรรม อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (มารธรรมสูตร) 27/439/327/439/3 27/423/10 |
255 | [๓๗๙] ขันธ์ 5 เป็นอนิจจัง (ความไม่เที่ยง) อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่ อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (อนิจจสูตร) 27/439/1727/439/17 27/424/7 |
256 | [๓๘๐] ขันธ์ 5 เป็นอนิจจธรรม อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (อนิจจธรรมสูตร) 27/440/827/440/8 27/425/3 |
257 | [๓๘๑] ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่ากิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (ทุกขสูตร) 27/440/1827/440/18 27/425/14 |
258 | [๓๘๒] ขันธ์ 5 เป็นทุกขธรรม อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่ากิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (ทุกขธรรมสูตร) 27/441/827/441/8 27/426/3 |
259 | [๓๘๓] ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน) อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (อนัตตสูตร) 27/441/1827/441/18 27/426/13 |
260 | [๓๘๔] ขันธ์ 5 เป็นอนัตตธรรม อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่ากิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (อนัตตธรรมสูตร) 27/442/827/442/8 27/427/3 |
261 | [๓๘๕] ขันธ์ 5 เป็นขยธรรม (สภาพที่สิ้นสูญ) อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่ากิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี (ขยธรรมสูตร) 27/442/1927/442/19 27/427/13 |
262 | [๓๘๖] ขันธ์ 5 เป็นวยธรรม (สภาพที่เสื่อมสลาย) อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. (วยธรรมสูตร) 27/443/827/443/8 27/428/3 |
263 | [๓๘๗] ขันธ์ 5 เป็นสมุทยธรรม (สภาพที่เกิดขึ้น) อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. (สมุทยธรรมสูตร) 27/443/2027/443/20 27/428/15 |
264 | [๓๘๘] ขันธ์ 5 เป็นนิโรธธรรม (สภาพที่ดับ) อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. (นิโรธธรรมสูตร) 27/444/1127/444/11 27/429/7 |
265 | [๓๘๙] สิ่งใดเป็นมาร พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย ก็อะไรเล่า เป็นมาร? ขันธ์ 5 เป็นมาร (มารสูตร) 27/446/1027/446/10 27/431/10 |
266 | [๓๙๐] สิ่งใดเป็นมารธรรม พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (มารธรรมสูตร) 27/447/327/447/3 27/432/3 |
267 | [๓๙๑] สิ่งใดเป็นอนิจจัง พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (อนิจจสูตร) 27/447/727/447/7 27/432/8 |
268 | [๓๙๒] สิ่งใดเป็นอนิจจธรรม พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (อนิจจธรรมสูตร) 27/447/1027/447/10 27/432/12 |
269 | [๓๙๓] สิ่งใดเป็นทุกข์ พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (ทุกขสูตร) 27/447/1327/447/13 27/433/3 |
270 | [๓๙๔] สิ่งใดเป็นทุกขธรรม พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (ทุกขธรรมสูตร) 27/447/1627/447/16 27/433/7 |
271 | [๓๙๕] สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (อนัตตสูตร) 27/448/227/448/2 27/433/11 |
272 | [๓๙๖] สิ่งใดเป็นอนัตตธรรม พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (อนัตตธรรมสูตร) 27/448/527/448/5 27/434/3 |
273 | [๓๙๗] สิ่งใดเป็นขยธรรม (สภาพที่สิ้นสูญ) พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (ขยธรรมสูตร) 27/448/827/448/8 27/434/7 |
274 | [๓๙๘] สิ่งใดเป็นวยธรรม (สภาพที่เสื่อมสลาย ) พึงละความพอใจ ความกำหนัดกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (วยธรรมสูตร) 27/448/1127/448/11 27/434/11 |
275 | [๓๙๙] สิ่งใดเป็นสมุทยธรรม(สภาพที่เกิดขึ้น) พึงละความพอใจ ความกำหนัดความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (สมุทยธรรมสูตร) 27/448/1427/448/14 27/435/3 |
276 | [๔๐๐] สิ่งใดเป็นนิโรธธรรม (สภาพที่ดับ) พึงละความพอใจ ความกำหนัดความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (นิโรธธรรมสูตร) 27/448/1827/448/18 27/435/7 |
277 | [๔๐๑-๔๑๖] พระพุทธองค์ทรงตรัสให้พระราธะละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในมาร, มารธรรม... นิโรธธรรมเพื่อเป็นธรรมเครื่องบ่มวิมุตติแก่พระราธะ (๑. มารสูตร... ๑๒. นิโรธธรรมสูตร) 27/451/427/451/4 27/437/4 |
278 | [๔๑๗] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์ย่อมไม่คลอด พระจันทร์ และพระอาทิตย์ย่อมไม่ขึ้น หรือย่อมไม่ตก เป็นของตั้งอยู่มั่นคงเหมือนเสาระเนียด (วาตสูตร) 27/455/1927/455/19 27/444/1 |
279 | [๔๑๘] แม้สิ่งที่บุคคลเห็นแล้ว ฟังแล้ว ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้วใคร่ครวญแล้วด้วยใจ ก็เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา. (วาตสูตร) 27/457/627/457/6 27/445/3 |
280 | [๔๑๙] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา (เอตังมมสูตร) 27/459/827/459/8 27/447/8 |
281 | [๔๒๑] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา (โสอัตตสูตร) 27/461/827/461/8 27/449/10 |
282 | [๔๒๓] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เราไม่พึงมี และบริขารของเราไม่พึงมี เราจักไม่มี และบริขารของเราจักไม่มี (โนจเมสิยาสูตร) 27/463/1527/463/15 27/451/9 |
283 | [๔๒๕] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล... (นัตถิทินนสูตร) 27/467/1927/467/19 27/455/5 |
284 | การบูชาใหญ่ เรียกว่า ยิฏฐะ (อ.นัตถิทินนสูตร) 27/469/1727/469/17 27/456/22 |
285 | [๔๒๗] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ ว่าเมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำฯลฯ บุญที่เนื่องด้วยการให้ทาน การฝึกฝนอินทรีย์ การสำรวม การกล่าวคำสัตย์ ไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา. (กโรโตสูตร) 27/472/2127/472/21 27/459/22 |
286 | [๔๒๙] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ฯลฯ ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ในอภิชาติ ทั้ง 6 เท่านั้น (เหตุสูตร) 27/477/1427/477/14 27/464/2 |
287 | [๔๓๑-๔๓๕] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่าสภาวะ 7 กองเหล่านี้ไม่มีใครทำ... ทิฏฐิว่าโลกเที่ยง, ทิฏฐิว่าโลกไม่เที่ยง (มหาทิฏฐิสูตร - อสัสสตทิฏฐิสูตร) 27/482/1727/482/17 27/468/14 |
288 | [๔๓๖-๔๔๔] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด... สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ก็ไม่ใช่ไม่เกิดอีกก็ไม่เชิง (สูตร ๑๑-๑๘) 27/495/1427/495/14 27/479-483 |
289 | [๔๔๕-๔๕๘] เมื่อทุกข์ มีอยู่ เพราะถือมั่นทุกข์ เพราะยึดมั่นทุกข์ จึงเกิดทิฏฐิต่างๆ ขึ้น (สูตร ๑-๒๖) 27/501/427/501/4 27/485-495 |
290 | [๔๕๙-๔๖๒] สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นมีอยู่ เพราะถือมั่นสิ่งนั้นจึงเกิดทิฏฐิต่างๆ ขึ้น (สูตร ๑-๒๖) 27/512/427/512/4 27/497-500 |
291 | [๔๖๓-๔๖๘] เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ เพราะถือมั่นขันธ์ 5 เพราะยึดมั่นขันธ์ 5 จึงเกิดทิฏฐิต่างๆขึ้น. ขันธ์ 5 ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา (สูตร ๑-๒๖) 27/516/427/516/4 27/501-505 |
292 | [๔๖๙] อายตนะภายใน 6 มีตา เป็นต้น ย่อมไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหว ซึ่งธรรมเหล่านี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี, ธรรมเหล่านี้ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ แก่ผู้ใด เรียกผู้นี้ว่าธัมมานุสารี (จักขุสูตร) 27/521/427/521/4 27/506/4 |
293 | [๔๗๐] อายตนะภายนอก 6 มีรูปเป็นต้น ย่อมไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหว ซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่าสัทธานุสารี, ธรรมเหล่านี้ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ แก่ผู้ใดเรียกผู้นี้ว่า ธัมมานุสารี (รูปสูตร) 27/522/327/522/3 27/507/6 |
294 | [๔๗๑] วิญญาณ 6 มีจักษุวิญญาณ เป็นต้น ย่อมไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกว่าสัทธานุสารี (วิญญาณสูตร) 27/523/327/523/3 27/508/6 |
295 | [๔๗๒] จักษุสัมผัสไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา... ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหว ซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี ฯลฯ เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า (ผัสสสูตร) 27/523/1627/523/16 27/509/3 |
296 | [๔๗๓] เวทนาที่เกิดจาก จักขุสัมผัส ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา... ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี . (เวทนาสูตร) 27/524/327/524/3 27/509/12 |
297 | [๔๗๔] รูปสัญญาไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา... ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี (สัญญาสูตร) 27/524/1327/524/13 27/510/3 |
298 | [๔๗๕] รูปสัญเจตนา(ความคิดอ่านในรูป) ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา... ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี . (เจตนาสูตร) 27/525/327/525/3 27/510/12 |
299 | [๔๗๖] รูปตัณหา (ความอยากในรูป) ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา... ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่าสัทธานุสารี . (ตัณหาสูตร) 27/525/1227/525/12 27/511/3 |
300 | [๔๗๗] ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา...ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้ อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี (ธาตุสูตร) 27/526/327/526/3 27/511/12 |
301 | [๔๗๘] ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงมีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรียกผู้นี้ว่า สัทธานุสารี ก้าวสู่สัมมัตตนิยาม (อริยมรรค) ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้ว พึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละ (ตาย) ตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล (ขันธสูตร) 27/526/1227/526/12 27/512/3 |
302 | บุคคลใดเมื่อเข้าสู่อริยมรรคแล้ว ขึ้นชื่อว่า การทำอันตรายแก่ อริยผลจะไม่มีแม้เวลาที่กัปจะถูกไฟไหม้ กัปก็จะไม่พึงถูกไฟไหม้ ตราบเท่าที่บุคคลนี้ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผล บุคคลนี้จึงถูกเรียกว่า ผู้ดำรงอยู่ ชั่วกัป (อ.ขันธสูตร) 27/527/1227/527/12 27/513/7 |
303 | [๔๗๙] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งอายตนะภายใน 6 เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและ มรณะ (จักขุสูตร) 27/529/427/529/4 27/515/4 |
304 | [๔๘๑] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งอายตนะภายนอก 6เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและ มรณะ (รูปสูตร) 27/529/2027/529/20 27/516/3 |
305 | [๔๘๓] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งวิญญาณ 6มีจักขุวิญญาณ เป็นต้น เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรคเป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (วิญญาณสูตร) 27/530/1527/530/15 27/516/18 |
306 | [๔๘๕] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่ง สัมผัส 6 มีจักขุสัมผัส เป็นต้น เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (ผัสสสูตร) 27/531/927/531/9 27/517/11 |
307 | [๔๘๗] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งเวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส เป็นต้น เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรคเป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (เวทนาสูตร) 27/532/327/532/3 27/518/3 |
308 | [๔๘๙] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่ง รูปสัญญาเป็นต้น เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (สัญญาสูตร) 27/532/1827/532/18 27/518/18 |
309 | [๔๙๑] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูปสัญเจตนา(ความคิดอ่านในรูป) เป็นต้น เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรคเป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (เจตนาสูตร) 27/533/927/533/9 27/519/11 |
310 | [๔๙๓] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่ง รูปตัณหา(ความอยากในรูป)เป็นต้น เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (ตัณหาสูตร) 27/534/327/534/3 27/520/3 |
311 | [๔๙๕] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่ง ปฐวีธาตุ...วิญญาณธาตุ เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรา และมรณะ (ธาตุสูตร) 27/534/1627/534/16 27/520/16 |
312 | [๔๙๗] ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งขันธ์ 5 เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ . (ขันธสูตร) 27/535/927/535/9 27/521/9 |
313 | [๔๙๙] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในอายตนะภายใน 6 เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุ ละอุปกิเลสแห่งใจในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ(จิตที่น้อมไปในโลกุตตรธรรม 9) จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่า ควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา. (จักขุสูตร) 27/537/427/537/4 27/523/4 |
314 | [๕๐๐] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในอายตนะภายนอก 6 เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุ ละอุปกิเลสแห่งใจในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่า ควรแก่ การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา (รูปสูตร) 27/537/1727/537/17 27/524/3 |
315 | [๕๐๑] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในจักขุวิญญาณ เป็นต้น เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา (วิญญาณสูตร) 27/538/727/538/7 27/524/13 |
316 | [๕๐๒] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน จักขุสัมผัส... มโนสัมผัส เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วย อภิญญา (ผัสสสูตร) 27/538/1827/538/18 27/525/3 |
317 | [๕๐๓] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน เวทนาอันเกิดจากจักขุสัมผัส เป็นต้นเป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้วย่อมปรากฏว่า ควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วย อภิญญา (เวทนาสูตร) 27/539/927/539/9 27/525/13 |
318 | [๕๐๔] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน รูปสัญญา... ธรรมสัญญาเป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้วย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วย อภิญญา (สัญญาสูตร) 27/539/2027/539/20 27/526/3 |
319 | [๕๐๕] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน รูปสัญญาเจตนา (ความคิดอ่านในรูป) เป็นต้น เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่า ควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วย อภิญญา (เจตนาสูตร) 27/540/1027/540/10 27/526/13 |
320 | [๕๐๖] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน รูปตัณหา (ความอยากในรูป) เป็นต้น เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่า ควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา (ตัณหาสูตร) 27/540/2127/540/21 27/527/3 |
321 | [๕๐๗] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน ปฐวีธาตุ... วิญญาณธาตุเป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วย อภิญญา (ธาตุสูตร) 27/541/1127/541/11 27/527/13 |
322 | [๕๐๘] ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน ขันธ์ 5 เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เมื่อใดภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 5 นี้ได้ เมื่อนั้นจิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่า ควรแก่การงาน ในธรรมอันพึงทำให้แจ้งด้วย อภิญญา (ขันธสูตร) 27/541/2227/541/22 27/528/3 |
323 | [๕๐๙] พระสารีบุตรตอบพระอานนท์ว่า เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเข้าปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติ และสุขเกิด แต่วิเวกอยู่ เรานั้นไม่ได้คิดอย่างนี้ว่าเราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว. (วิเวกสูตร) 27/544/1527/544/15 27/530/14 |
324 | [๕๑๐] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าทุติยฌาณ อันมีความผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่วิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เรานั้นไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าทุติยฌานอยู่หรือว่าเข้าทุติยฌานแล้ว หรือว่าออกจากทุติยฌานแล้ว (อวิตักกสูตร) 27/545/727/545/7 27/531/7 |
325 | [๕๑๑] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป เข้าตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌาณนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดังนี้อยู่ เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่าเราเข้าตติยฌานอยู่ หรือว่าเข้าตติยฌานแล้ว หรือว่าออกจากตติยฌานแล้ว (ปีติสูตร) 27/545/1927/545/19 27/531/19 |
326 | [๕๑๒] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าจตุตถฌานอยู่ หรือว่าเข้าจตุตฌานแล้วหรือว่าออกจตุตถฌานแล้ว (อุเปกขาสูตร) 27/546/1127/546/11 27/532/11 |
327 | [๕๑๓] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าอากาสานัญจายตนฌาน ด้วย คำนึงว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาเสียได้ เพราะดับปฏิฆสัญญา เสียได้ เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่ง นานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวงอยู่ ฯลฯ. (อากาสานัญจายตนสูตร) 27/547/327/547/3 27/533/7 |
328 | [๕๑๔] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าวิญญาณัญจายตนฌานด้วยคำนึงถึงว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานเสียได้ โดยประการทั้งปวงอยู่ ฯลฯ (วิญญาณัญจายตนสูตร) 27/547/1627/547/16 27/533/20 |
329 | [๕๑๕] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าอากิญจัญญายจนฌาน ด้วยคำนึงว่า สิ่งอะไรหน่อยหนึ่งไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานเสียได้ โดยประการทั้งปวงอยู่ ฯลฯ (อากิญจัญญายตนสูตร) 27/548/727/548/7 27/534/12 |
330 | [๕๑๖] พระสารีบุตร ตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะ ล่วงอากิญจัญญายตนฌานเสียได้ โดยประการทั้งปวงอยู่ ฯลฯ. (เนวสัญญานาสัญญายตนสูตร) 27/549/127/549/1 27/535/7 |
331 | [๕๑๗] พระสารีบุตรตอบพระอานนท์ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญ-ญานาสัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่ ฯลฯ (สัญญาเวทยิตนิโรธสูตร) 27/549/2027/549/20 27/536/5 |
332 | [๕๑๘] พระสารีบุตร ตอบนางสูจิมุขีปริพาชิกา ว่า สมณพราหมณ์ เหล่าใดเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูพื้นที่ สมณพราหมณ์เหล่านี้ เรียกว่าก้มหน้าฉัน ส่วนพวกเลี้ยงชีวิต ด้วยวิชาดูดาวนักษัตร เรียกว่า แหงนหน้าฉัน...ส่วนพระเถระแสวงหาภิกษาโดยชอบธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้วจึงฉัน. (สูจิมุขีสูตร) 27/552/527/552/5 27/537/23 |
333 | [๕๑๙] กำเนิดของนาค 4 จำพวก คือ เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในเถ้าไคล เกิดผุดขึ้น (สุทธกสูตร) 27/556/327/556/3 27/541/4 |
334 | [๕๒๐] นาคที่เกิดในครรภ์ เกิดในเถ้าไคล เกิดผุดขึ้น ประณีตกว่านาคที่เกิดในไข่ นาคที่เกิดผุดขึ้น ประณีตกว่าพวกอื่น (ปณีตตรสูตร) 27/557/227/557/2 27/542/9 |
335 | [๕๒๑-๕๒๔] เหตุปัจจัย ที่ทำให้นาคบางพวกในโลกนี้ รักษาอุโบสถ และสละกาย ได้ (สูตร ๓-๖) 27/557/1227/557/12 27/543/3 |
336 | [๕๒๕-๕๒๘] เหตุปัจจัย ที่ทำให้คนบางคนเมื่อตายไป เกิดเป็น นาค (สูตร ๗-๑๐) 27/560/1827/560/18 27/546/8 |
337 | [๕๒๙-๕๓๐] บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำกรรมทั้งดีและชั่ว แล้วปรารถนาความเป็นนาค จึงได้ให้ทานด้วย ข้าว น้ำ ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีป และอุปกรณ์แห่งประทีป. เมื่อตายไป เขาย่อมเกิดเป็นนาค. (สูตร ๑๑-๕๐) 27/563/927/563/9 27/549-550 |
338 | การให้ยาน ได้แก่ ปัจจัยที่ช่วยในการเดินทาง ทุกชนิดเริ่มตั้งแต่ร่ม และรองเท้า. (อ.สูตรที่ ๒ เป็นต้น) 27/565/1427/565/14 27/551/12 |
339 | [๕๓๑] กำเนิดของครุฑ 4 จำพวก คือ เกิดจากไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในเถ้าไคล เกิดผุดขึ้น (สุทธกสูตร) 27/567/327/567/3 27/553/4 |
340 | ครุฑ ทั้งหลาย เรียกว่า สุบรรณ เพราะปีกมีสีสวย (สุทธกสูตร) 27/567/1227/567/12 27/553/13 |
341 | [๕๓๒] ครุฑที่เกิดจากไข่ ย่อมนำนาคที่ ออกจากไข่ไปได้ แต่นำนาคอีก 3 กำเนิดไปไม่ได้ (หรติสูตร) 27/567/1727/567/17 27/554/3 |
342 | นาคที่ครุฑเฉี่ยวไปไม่ได้มี 7 จำพวก คือ นาคที่ชาติสูงกว่า นาคกัมพลอัสสดรนาคธตรฐ นาคที่อยู่ในมหาสมุทรสัตตสีทันดร นาคที่อยู่บนแผ่นดิน นาคที่อยู่ที่ภูเขา นาคที่อยู่ในวิมาน. (อ.หรติสูตร) 27/568/1427/568/14 27/554/19 |
343 | [๕๓๓-๕๓๔] เหตุปัจจัยที่ทำให้คนบางคน ตายไป เกิดเป็นครุฑ (สูตร ๓-๖) 27/569/1427/569/14 27/556/3 |
344 | [๕๓๕-๕๓๖] บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำกรรมทั้งดี และชั่ว แล้วปรารถนาความเป็นครุฑ จึงได้ให้ทานด้วย ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่พัก ประทีปและอุปกรณ์ แห่งประทีป เมื่อตายไป เขาย่อมเกิดเป็นครุฑ. (สูตร ๗-๑๐) 27/571/227/571/2 27/557/16 |
345 | [๕๓๗] คนธรรพ์ เป็นเทวดาซึ่งสิงอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่น ที่ราก ที่กระพี้ ที่เปลือก ที่สะเก็ด ที่ใบ ที่ดอก ที่ผล ที่รส ที่กลิ่น (สุทธกสูตร) 27/573/327/573/3 27/560/4 |
346 | [๕๓๘] เหตุปัจจัย ที่ทำให้คนบางคนตายไป เกิดเป็นคนธรรพ์ (สุจริตสูตร) 27/574/1127/574/11 27/561/17 |
347 | [๕๓๙-๕๔๐] บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติสุจริต แล้วปรารถนาความเป็นคนธรรพ์จึงได้ให้ทานต้นไม้มีกลิ่นที่รากเป็นต้น เมื่อตายไป เขาย่อมเกิดเป็นคนธรรพ์ (สูตร ๓-๑๒) 27/575/627/575/6 27/562/15 |
348 | [๕๔๑-๕๔๒] บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติสุจริต แล้วปรารถนาเป็นคนธรรพ์ จึงได้ให้ทานด้วย ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีป และอุปกรณ์แห่งประทีป เมื่อตายไป เขาย่อมเกิดเป็น คนธรรพ์ (สูตร๑๓-๑๑๒) 27/578/627/578/6 27/565/13 |
349 | [๕๔๓] เทวดาที่นับเนื่องในหมู่วลาหก (เมฆ) คือ เทวดาก้อนเมฆที่ทำให้เกิดความเย็น เทวดาก้อนเมฆที่ทำให้เกิดความร้อน เทวดาที่ทำให้เกิดเมฆหมอก เทวดาที่ทำให้เกิดลม เทวดาที่ทำให้เกิดฝน (เทสนาสูตร) 27/581/327/581/3 27/568/4 |
350 | [๕๔๔-๕๔๙] บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติ สุจริต แล้วปรารถนาความเป็นเทวดาก้อนเมฆ จึงได้ให้ทานด้วย ข้าว น้ำ ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ประทีป และอุปกรณ์แห่งประทีป เมื่อตายไปเขาย่อมเกิดเป็นเทวดาก้อนเมฆ. (สูตร ๒-๕๒) 27/582/227/582/2 27/569/7 |
351 | ความเย็นที่เย็นมากกว่าความเย็นทั้งหลาย และความเย็นที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนอันใด ความเย็นนั้น จัดเป็นความเย็นที่บังเกิดขึ้น ด้วยอานุภาพของเทวดา.. (อ.สูตร ๑๓-๕๒) 27/584/1827/584/18 27/572/14 |
352 | [๕๕๐] ความหนาวย่อมมี เพราะอาศัยความตั้งใจของเทวดา พวกสีตวลาหก. (สีตวลาหกสูตร) 27/585/227/585/2 27/572/3 |
353 | [๕๕๑] ความร้อนย่อมมี เพราะอาศัยความตั้งใจของเทวดาอุณหวลาหก . (อุณหวลาหกสูตร) 27/586/127/586/1 27/573/6 |
354 | ความร้อนจัดที่มี แม้ในหน้าร้อน ที่มีในหน้าหนาว ชื่อว่า เป็นความร้อนที่บังเกิดขึ้นด้วยอานุภาพของเทวดา (อ.สูตรที่ ๕๓) 27/585/1227/585/12 27/573/13 |
355 | [๕๕๒] เมฆหมอกย่อมมี เพราะอาศัยความตั้งใจ ของเทวดาอัพภวลาหก . (อัพภวลาหกสูตร) 27/586/1927/586/19 27/574/6 |
356 | เมฆหนาในฤดูมีเมฆ ที่บดบังพระจันทร์ และพระอาทิตย์ทำให้มืดหมดเป็นเวลาถึง 7 สัปดาห์ และเมฆ ในเดือน 5 เดือน 6 ชื่อว่าเมฆที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของเทวดา (อ.สูตรที่ ๕๔) 27/586/1127/586/11 27/574/16 |
357 | [๕๕๓] ลมย่อมมี เพราะอาศัยความตั้งใจของเทวดาวาตวลาหก (วาตวลาหกสูตร) 27/587/1527/587/15 27/575/6 |
358 | ลมแรงที่พัดทำลายต้นไม้ และลมที่เกิดขึ้นผิดฤดูกาล อย่างอื่นนี้ชื่อว่า ลมที่เกิดด้วยอานุภาพเทวดา (อ.สูตร ๕๕) 27/587/827/587/8 27/575/13 |
359 | [๕๕๔] ฝนย่อมมี เพราะอาศัยความตั้งใจของเทวดาวัสสวลาหก (วัสสวลาหกสูตร) 27/589/1027/589/10 27/576/6 |
360 | วัสสพลาหกเทพบุตร ตนหนึ่ง ทำฝนตกให้ภิกษุดู (อ.สูตรที่ ๕๖) 27/588/627/588/6 27/576/16 |
361 | ฝนจะหยุดตก เพราะเหตุ 8 ประการ (อ.สูตรที่ ๕๖) 27/589/127/589/1 27/577/11 |
362 | [๕๕๕-๕๘๕] พระพุทธองค์ ตอบคำถาม ของปริพาชกวัจฉโคตร ว่าด้วยเพราะความไม่รู้ในขันธ์ 5 ในเหตุเกิดแห่งขันธ์ 5 ในความดับแห่งขันธ์ 5 ในปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งขันธ์ 5 จึงเกิดทิฏฐิต่างๆ ขึ้น. (สูตร ๑-๕๕) 27/590/327/590/3 27/578-587 |
363 | [๕๘๖] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการเข้าสมาธิ เป็นต้น (สมาธิสมาปัติ สูตร) 27/599/327/599/3 27/588/4 |
364 | [๕๘๗] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการตั้งอยู่ในสมาธิ เป็นต้น (ฐิติสูตร) 27/600/827/600/8 27/589/11 |
365 | [๕๘๘] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการออกจากสมาธิ เป็นต้น (วุฏฐานสูตร) 27/601/727/601/7 27/590/14 |
366 | [๕๘๙] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ เป็นต้น (กัลลิตสูตร) 27/602/227/602/2 27/591/13 |
367 | [๕๙๐] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในอารมณ์ในสมาธิ เป็นต้น (อารัมมณสูตร) 27/602/1827/602/18 27/592/12 |
368 | [๕๙๑] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในโคจรในสมาธิ เป็นต้น (โคจรสูตร) 27/603/1327/603/13 27/593/11 |
369 | [๕๙๒] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการบริหารจิตไปในสมาธิ เป็นต้น (อภินีหารสูตร) 27/604/927/604/9 27/594/10 |
370 | [๕๙๓] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่กระทำความเคารพในสมาธิ เป็นต้น (สักกัจจการีสูตร) 27/605/627/605/6 27/595/9 |
371 | [๕๙๔] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่กระทำความเพียรเป็นไปติดต่อในสมาธิ เป็นต้น (สาตัจจการีสูตร) 27/606/227/606/2 27/596/7 |
372 | [๕๙๕] ผู้ได้ฌาน 4 จำพวก มีผู้ฉลาด ในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่กระทำความสบายในสมาธิ เป็นต้น (สัปปายการีสูตร) 27/606/1927/606/19 27/597/8 |